Thursday, September 21, 2006

ไม่ได้โม้

บทละครเรื่องใหม่ล่าสุด
ณ. สถานควบคุมตัวผู้ต้องหาคดีร้ายแรงคดีนึง ประเทศไหแลนด์

ชายร่างใหญ่ สวมหมวกไหมพรม กำลังถูกควบคุมตัวไว้โดยตำรวจ
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนเค้าถูกจับด้วยข้อหาร้ายแรง
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน เค้าถูกกล่าวหาว่าเป็นคนติ่งต๊อง
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนเค้าถูกกล่าวหาว่าเป็นคนขี้โม้
เมื่อไม่กี่สัปดาห์เค้าถูกนักหนังสือพิมพ์ด่าว่า "ตัวใหญ่แต่ใจมด"

ตอนนี้ชายคนนั้นกำลัง
นั่งฟังข่าวเหคุการณ์บ้านเมืองในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา
นั่งหน้าซีด ปากสั่น ตัวลีบ ร่ำร้องในใจว่า "ซวยแล้วกู"
แต่ถึงยังไง ชายคนดังกล่าวก็รู้สึกสะใจเล็กๆ อยากตะโกนบอกใครต่อใครว่า
"พวกมึงเห็นไม๊ กูไม่ได้โม้ 555"

ไว้อาลัยแด่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540
ไว้อาลัยแด่ประชาธิปไตย
ไว้อาลัยแด่สิทธิและเสรีภาพ
และไว้อาลัยแด่ประเทศไทย

Monday, July 24, 2006

นักฟิสิกส์กับนักกฎหมาย

ห่างหายไปนานสำหรับบล็อกกับตัวผม สาเหตุใดคงไม่ต้องบอกกล่าวกันเพราะคงรู้กันอยู่แล้ว วันนี้ผมได้รับเมล์ฟอร์เวิร์ดจากเพื่อนรุ่นน้องคนนึง ซึ่งปกติผมขี้เกียจจะอ่านเสมอๆ (ชอบดูรูปมากกว่า หุหุ) ส่วนใหญ่จะลบทิ้ง (เพื่อนๆที่ส่งเมลให้ผมอย่าเพิ่งน้อยใจนะครับ บางเรื่องผมก็อ่านนะครับอย่างเรื่องนี้เป็นต้น) เนื้อความในเมล์ว่ายังงี้ครับ

อันนี้ถ้าจำไม่ผิดอ่านมาจากพันทิพ
ข้อสอบฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัย และคำตอบของนักศึกษาคนหนึ่ง โจทย์ข้อหนึ่งในข้อสอบวิชาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนมีดังนึ้

"จงอธิบายว่าท่านจะใช้บารอมิเตอร์วัดความสูงของตึกระฟ้าได้อย่างไร"

รู้จักกันนะครับ ว่าบาร์รอมิเตอร์นี่ก็คือเครื่องมือวัดความกดอากาศนั่นเอง (อธิบายเพิ่มเติมก็คงต้องบอกว่า อากาศนั้นมันมีน้ำหนักหรือมีแรงกดนั่นเอง และแรงกดของอากาศนั้นเมื่ออยู่ในระดับความสูงที่เปลี่ยนไป ความกดอากาศก็เปลี่ยนไปด้วย)

นักศึกษาคนหนึ่งเขียนคำตอบลงไปว่า "เอาเชือกยาวๆ ผูกกับบารอมิเตอร์แล้วหย่อนลงมาจากยอดตึก แล้วก็เอาความยาวเชือกบวกความสูงบารอมิเตอร์ก็จะได้ความสูงของตึก" ฟังดูเป็นอย่างไรครับคำตอบนี้ ผมฟังครั้งแรกผมยังอมยิ้มเลยครับ แต่อาจารย์ที่ตรวจข้อสอบไม่นึกขันอย่างผมด้วย อาจารย์ตัดสินให้นักศึกษาคนนั้นสอบตก นักศึกษาผู้นั้นยืนยันต่ออาจารย์ที่ปรึกษาว่า คำตอบของเขาควรจะถูกต้องอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง และคำตอบของเขาก็สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ ทางมหาวิทยาลัยจึงตั้งกรรมการชุดหนึ่งมาตัดสินเรื่องนี้ และในที่สุดคณะกรรมการก็มีความเห็นตรงกันว่า คำตอบนั้นถูกต้องอย่างแน่นอน

แต่เป็นคำตอบที่ไม่แสดงถึงความรู้ความสามารถทางฟิสิกส์ ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น ทางคณะกรรมการจึงให้เรียกนักศึกษาคนนั้นมา แล้วให้สอบข้อสอบข้อนั้นอีกครั้งหนึ่งต่อหน้า โดยให้เวลาเพียง 6 นาที เท่ากับเวลาในการสอบข้อสอบเดิม เพื่อหาคำตอบที่แสดงให้เห็นถึงความรู้ทางด้านฟิสิกส์ หลังจากผ่านไป 3 นาที นักศึกษาคนนั้นก็ยังนั่งนิ่งอยู่ กรรมการจึงเตือนว่า เวลาผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้วจะไม่ตอบหรืออย่างไร นักศึกษาหัวรั้นจึงตอบว่า เขามีคำตอบมากมายที่เกี่ยวกับฟิสิกส์ แต่ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะใช้คำตอบไหนดี และเมื่อได้รับคำเตือนอีกครั้ง นักศึกษาจึงเขียนคำตอบลงไปดังนี้

ให้เอาบารอมิเตอร์ขึ้นไปบนดาดฟ้าตึกและทิ้งลงมา จับเวลาจนถึงพื้น, ความสูงของตึกหาได้จากสูตร H=0.5g*t กำลัง 2

หรือถ้าแดดแรงพอ ให้วัดความสูงบารอมิเตอร์แล้วก็วางบารอมิเตอร์ให้ตั้งฉากพื้น แล้ววัดความยาวของเงาบารอมอเตอร์ จากนั้นก็วัดความยาวของเงาตึก แล้วคิดด้วยตรีโกณมิติก็จะได้ความสูงของตึกโดยไม่ต้องขึ้นไปบนตึกด้วยซ้ำ

หรือถ้าเกิดอยากใช้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์มากกว่านี้
ก็เอาเชือกเส้นสั้นๆ มาผูกกะบารอมิเตอร์แล้วแกว่งเหมือนลูกตุ้ม ตอนแรกก็แกว่งระดับพื้นดิน แล้วก็ไปแกว่งอีกทีบนดาดฟ้า ความสูงของตึกจะหาได้จาก ความแตกต่างของคาบการแกว่ง เนื่องจากความแตกต่างของแรงดึดดูดจากจุดศูนย์กลางของมวล คำนวณจาก T = 2 พาย กำลัง 2 รากที่ 2 ของ l/g

ถ้าตึกมีบันไดหนีไฟก็ง่ายๆ ก็เดินขึ้นไปเอาบารอมิเตอร์ทาบตัวตึกแล้วก็ทำเครื่องหมายไปเรื่อยๆ จนถึงยอดตึกนับไว้คูณด้วยความสูงของบารอมิเตอร์ก็ได้ความสูงตึก

แต่ถ้าคุณเป็นคนที่น่าเบื่อและยึดถือตามแบบแผนจำเจซ้ำซาก คุณก็เอาบารอมิเตอร์วัดความดันอากาศที่พื้นและที่ยอดตึก คำนวณความแตกต่างของความดันก็จะได้ความสูง

ส่วนวิธีสุดท้ายง่ายและตรงไปตรงมาก็คือ ไปเคาะประตูห้องภารโรง แล้วบอกว่า อยากได้บารอมิเตอร์สวยๆ ใหม่เอี่ยมสักอันไหม ช่วยบอกความสูงของตึกให้ผมทีแล้วผมจะยกให้.

หากมองตามเหตุการณ์ในเมล์(ที่ผมสงสัยอยูว่ามันจริงป่าววะ) ที่ได้รับมานักศึกษาคนนี้ออกจะกวนอวัยวะ และขวางโลกอยู่ไม่น้อย (ในเมล์มาเฉลยตอนท้ายว่านักศึกษาคนนั้นคือ นีล โบร์ ผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปีค.ศ.1922*) ก็ข้อสอบเค้าถามในข้อสอบวิชาฟิสิกส์ ไม่ได้ถามในบริบททั่วไปๆ ผมเลยมาตั้งคำถามต่อในใจ สมมุติว่า ถ้าคำถามเดียวกันนี้ไปถามนักฟิสิกส์ แต่ไม่ได้ถามในข้อสอบวิชาฟิสิกส์ (ถามทั่วไป) ผม “เดา” เอาว่า หลายๆคนก็คงตอบแบบ “คนที่น่าเบื่อและยึดถือตามแบบแผนจำเจซ้ำซาก” ตามนิยามของนักศึกษาผู้นี้ ซึ่งจากเมล์อันนี้ผมเลยได้ข้อสรุปในใจขึ้นมาว่า “ปัญหาบางปัญหาไม่จำเป็นต้องแก้ด้วยฟิสิกส์”

ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงเรื่องๆนึงที่เพื่อนผมที่เป็นทนายเคยบ่นให้ฟัง มันบอกว่าทนายมักชอบคิดแบบทนาย นักกฎหมายชอบคิดแบบนักกฎหมาย (โดยเฉพาะพวกที่จบมาใหม่ๆ ยังไม่มีประสบการณ์ ซึ่งเพื่อนผมก็บอกว่าตัวเองก็จัดเป็นทนายเป็นประเภทนี้) คือว่าทนายเวลามีลูกความมาปรึกษาคดีก็ชอบที่จะคิดถึงแต่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคดี “เป็นอย่างแรก” (เน้นว่าเป็นอย่างแรกที่สมองจะนึกออกเวลาทำงาน ซึ่งอันนี้เน้นโดยเพื่อนคนที่เล่าให้ฟัง) แล้วก็จะละเลยประเด็นอื่นๆ หรือความเป็นไปได้อื่นๆ ในการแก้ไขปัญหาโดยไม่ต้องใช้กฎหมาย เช่นถ้าลูกความมาปรึกษาเรื่องทะเลาะกับสามีที่บ้าน ก็มักจะคิดถึงแต่เหตุฟ้องหย่าตามกฎหมาย หรือถ้าลูกความมาปรึกษาเรื่องไม่มีเงินจ่ายหนี้ ก็จะคิดถึงเหตุที่หลบเลี่ยงให้ลูกความไม่ต้องจ่ายเงิน หรือมีเรื่องทะเลาะกับข้างบ้าน หัวสมองก็เริ่มคิดเรื่องละเมิด เรื่องค่าเสียหายที่จะฟ้องร้อง

หลายคนคงสงสัยว่าแล้วมันแปลกตรงไหน ก็ทนายมีหน้าที่ในการแก้ปัญหาตรงนี้นี่ ซึ่งผมก็ไม่เถียงว่าทนายมีหน้าที่ตรงนี้จริง แต่บางทีเราอาจจะลืมไปว่า ปัญหาทุกปัญหาไม่ต้องใช้กฎหมายแก้ก็ได้ ไม่ต้องถึงโรงถึงศาลก็ได้ หรือบางปัญหาไม่ใช่เรื่องของกฎหมายเลยก็อย่าพยายามลากเอากฎหมายเข้าไปเกี่ยวข้อง หากเอาตามกรณีที่ยกตัวอย่างมา เช่น ลูกความมาปรึกษาเรื่องทะเลาะกับสามีทีบ้าน ก็อาจจะให้คำปรึกษาที่ดีไปซะก่อน หรือ เรื่องลูกความไม่มีเงินจ่ายหนี้ ก็อาจเป็นคนกลางเจรจาประนอมหนี้ หรือเรื่องลูกความทะเลาะกับคนข้างบ้าน แทนที่จะตั้งเรื่องฟ้องท่าเดียว ก็อาจเป็นคนกลางในการเจรจากับคนข้างบ้านให้

ซึ่งเพื่อนผมลงความเห็นสรุปว่าเพราะ “เรียนกฎหมายมาความคิดเลยแคบ อยู่แต่ในตัวบทกฎหมาย” ตอนแรกที่ผมฟังเพื่อนผมเล่าก็ไม่จะคล้อยตามเท่าไหร่ นั่งถกกันอยู่ครึ่งคืน แต่ตอนนี้ ผมชักจะเริ่มเห็นด้วยกับมันแล้วล่ะครับ โดยดูจากปัญหาทางการเมืองอยู่ในขณะนี้ ดูวิธีการแก้ปัญหาของนักกฎหมายหลายๆ สำนักที่เสนอให้แก้กฎหมายฉบับนั้น กฎหมายฉบับนี้ แก้รัฐธรรมนูญบ้างล่ะ ต้องใช้มาตรา 7 บ้างล่ะ คงลืมนึกไปว่าปัญหาบางปัญหาไม่จำเป็นแก้ได้ด้วยกฎหมายนะกรับ

ปล.กรุณาอย่าถามต่อนะครับว่าแล้วควรทำยังไง เพราะผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน หุหุ

* อันนี้ผมสงสัยเองว่า ปี 1922 มีรางวัลโนเบลแล้วหรือ ใครทราบรบกวนช่วยบอกหน่อยครับ ขอบคุณครับ

Tuesday, June 13, 2006

Dreams

ช่วงนี้กำลังเผชิญกับวิกฤตการศึกษาอีกครั้ง รู้สึกหดหู่ เลยมาเปลี่ยนเพลงให้ฟังดูมีกำลังใจหน่อย เป็นเพลงของ เอ็ดดี้ แวน ฮาเลน ฟังแล้วรู้สึกมีกำลังจะลุกขึ้นสู้ชีวิตดีครับ โดยเฉพาะเสียงร้องนำของ Sammy Hagar เสียงสูงได้ใจเข้ากับอารมณ์ของเพลงเป็นอย่างดี ลองหลับตาแล้วร้องตาม(ให้ถูกคีย์นะครับ)แล้วจะรู้สึกว่าตัวเองลอยได้
Dream/Van halen

World turns black and white
Pictures in an empty room
Your love starts fallin' down
Better change your tune
Yeah, you reach for the golden ring
Reach for the sky
Baby, just spread your wings

We'll get higher and higher
Straight up we'll climb
We'll get higher and higher
Leave it all behind

Run, run, run away
Like a train runnin' off the track
Got the truth bein' left behind
Falls between the cracks
Standin' on broken dreams
Never losin' sight, ah
Well just spread your wings

We'll get higher and higher
Straight up we'll climb
We'll get higher and higher
Leave it all behind

So baby dry your eyes
Save all the tears you've cried
Oh, that's what dreams are made of
'Cause we belong
in a world that must be strong
Oh, that's what dreams are made of

Yeah, we'll get higher and higher
Straight up we'll climb
Higher and higher
Leave it all behind
Oh, we'll get higher and higher
Who knows what we'll find?

So baby dry your eyes
Save all the tears you've cried
Oh, that's what dreams are made of
Oh baby, we belong
in a world that must be strong
Oh, that's what dreams are made of

And in the end on dreams we will depend
'Cause that's what love is made of

Monday, May 22, 2006

ของเล่นใหม่

หลังจากใช้ความพยายามอยู่หลายเดือน ในที่สุดผมก็เอาเพลงลงบล็อกเป็นจนได้ หลายคนอาจสงสัยว่ามันยากตรงไหน สำหรับคนอื่นอาจจะไม่ แต่สำหรับคนโลว์-เทคโนโลยีอย่างผมนี่เลือดตาแทบกระเด็น ยังไงก็เชิญนะครับ คลิ๊กที่ด้านขวามือ เพลงที่เอามาให้ฟังเป็นเพลงโปรดของผมเพลงนึงในอัลบั้มล่าสุดของ บอง โจวี่


dirty little secret
I light a candle
In the garden of love
To blind the angels
Looking down from above
I want, I need The fruit of your VINE
It tastes so bitter sweet
Cause I know it's not mine
I want to go inside
*Hit the lights
And I'll come crawling to your window, tonight
Come on and send the sign
I'll be your dirty little secret and you'll be mine
You got me knock knock knocking at your door
And I'll be coming back for more
We made a promise and we keep it
Our dirty little secret
We act like strangers
When you're holding his hand
Cause there's a danger
That we both understand
We run like thiefs
Through the temple of sin
Till we fall on our knees then you go back to him
I want to feel alive
(*,*)

Wednesday, April 26, 2006

Stand up if you love Shearer




Stand up if you love Shearer เสียงตะโกนพร้อมกับการลุกขึ้นยืนปรบมือ (Standing ovation) ของคนกว่าครึ่งแสน เพื่อเป็นเกียรติแก่ยอดกัปตันทีม “อลัน เชียร์เรอร์” ผู้กำลังจะเป็นอดีตตำนานอันยิ่งใหญ่ของสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิล ดังกระหึ่มในสนามเซ็นต์ เจมส์ ปาร์ค เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเป็นเครื่องพิสูจน์อะไรบางอย่างของยอดดาวยิงผู้นี้

ย้อนกลับไปประมาณ 30 ปีก่อน ด.ช.เชียร์เรอร์ ก็เป็นเหมือนเด็กชายชาวอังกฤษทั่วไป ที่ติดสอยห้อยตามครอบครัวโไปเชียร์ทีมฟุตบอลประจำเมือง หรือทีมที่ครอบครัวชื่นชอบ แน่นอนครับ ด.ช.เชียร์เรอร์ เป็นชาวเมืองนิวคาสเซิล จึงเป็นแฟนบอลของทีมประจำเมืองไปโดยปริยาย เมื่อได้ดูแล้วก็เกิดความฝันอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ใส่เสื้อลายบาร์โค้ด(ขาว-ดำ) ลงเตะในสนามเซ็นต์ เจมส์ ปาร์ค มีแฟนบอลส่งเสียงเชียร์ เหมือนกับเควิน คีแกน ฮีโร่ของเค้า


เมื่อความฝันแล้ว ด.ช.เชียร์เรอร์ ก็ไม่รอช้ามุ่งมั่นซุ่มซ้อมอย่างหนักเพื่อที่จะให้ได้เป็นนักเตะอาชีพ แต่แล้วความฝันของเชียร์เรอร์ก็ถูกทดสอบเป็นครั้งแรก เมื่อเชียร์เรอร์ถูกปฏิเสธไม่ให้เป็นนักเตะฝึกหัดของสโมสรที่มุ่งหวัง ไม่รู้ว่าโชคชะตากลั่นแกล้ง หรือเป็นความผิดพลาดที่น่า “เขกกะโหลก” ของเหล่าสตาฟโค้ชผู้คัดเลือก เชียร์เรอร์มีทางให้เลือกไม่มากนัก แต่ด้วยความมุ่งมั่น หนุ่มน้อยอายุเพียง 15 ปี อย่างเชียร์เรอร์เก็บข้าวเก็บของ เดินทางออกจากบ้านเกิดอันเป็นที่รักยิ่งลงใต้เพื่อไปเป็นนักเตะฝึกหัดของสโมสรเซาท์แธมป์ตันที่อยู่ห่างจากนิวคาสเซิลประมาณ 300 ไมล์ (เทียบกับบ้านเราก็ประมาณจากหนองคายลงสงขลา)

ที่เซาท์แธมป์ตัน เชียร์เรอร์ได้เริ่มตำนานบทที่หนึ่ง ตั้งแต่อายุ 17 ปี 8 เดือน โดยการยิงแฮตทริก(1 นัด 3 ประตู)ใส่ทีมอาร์เซนอล ด้วยอายุที่น้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ ทำลายสถิตของจิมมี่ กรีฟฟ์ ที่อยู่ยงคงกระพันมานานถึง 30 ปี

เชียร์เรอร์อยู่ที่เซาท์แธมป์ตันเป็นเวลา 6 ปี ก็ต้องมีอันชีพจรลงเท้าอีกครั้ง เมื่อได้รับข้อเสนอขอซื้อตัวจากทีม แบล็กเบิร์น โรเวอร์ ที่มีอดีตตำนาน หมายเลข 7 แห่งทีมลิเวอร์พูล เคนนี่ ดัลกลิช เป็นผู้จัดการทีม และทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มี เซอร์อเล็ก เฟอร์กูสัน เป็นกุนซือ

เชียร์เรอร์ปฏิเสธท่านเซอร์อเล็กซ์ เป็นครั้งแรก และย้ายไปอยู่กับแบล็กเบิร์น ด้วยค่าตัว 3.6 ล้านปอนด์ ซึ่งถือว่าแพงมากในสมัยนั้น

การตัดสินใจของเชียร์เรอร์น่าแปลกใจอยู่ไม่น้อยเพราะแมนยูในขณะนั้นเพิ่งได้รองแชมป์ลีก ศักยภาพของทีมค่อนข้างจะลงตัว ซึ่งหากเชียร์เรอร์ย้ายไป จะได้จับคู่กับเอริก คันโตน่า ยอดนักเตะชาวฝรั่งเศสที่ท่านเซอร์เพิ่งซื้อมา หากเล่นคู่กันจะเป็นคู่หูในฝันคู่นึงเลยทีเดียว เทียบกับแบล็กเบิร์นที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาอยูบนลีกสูงสุดได้ไม่นาน มีเพียงเม็ดเงินจากประธานสโมสรผู้ล่วงลับ แจ็ก วอล์กเกอร์ ที่ไม่อาจคาดหมายได้ว่าจะประสบความสำเร็จอย่างแมนยู แต่เชียร์เรอร์ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเค้าตัดสินใจไม่ผิด 3 ฤดูกาลต่อมา เชียร์เรอร์ยิงได้ 31 ประตู จากการลงสนาม 40 นัด นำทีมแบล็กเบิร์นเฉือนชนะแมนยูแค่เส้นยาแดง คว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพไปครอง





แต่ใครจะรู้ว่านี่คือแชมป์แรกและแชมป์เดียวของเชียร์เรอร์ในชีวิตการค้าแข้ง




ปี 1996 ความฝันของเชียร์เรอร์ก็ถูกทดสอบอีกครั้ง เมื่อได้รับข้อเสนอขอซื้อตัวจากเซอร์อเล็กซ์ แห่งแมนยูเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งทีมแมนยูพึ่งคว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพมา 2 สมัยซ้อน หากครั้งนี้เชียร์เรอร์ตัดสินใจไปอยู่กับทีมแมนยู การจะได้เกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทองลำบากแค่ยกขา เพราะขณะนั้นแมนยูเข้าขั้นเป็นยอดทีมแห่งเกาะอังกฤษ และกำลังใส่เกียร์เดินหน้าเพื่อมุ่งสู่แชมป์ยุโรป แต่ในขณะเดียวกัน ทีมนิวคาสเซิล ที่เป็นทีมบ้านเกิดและเป็นทีมที่เชียร์เรอร์รักก็ได้ยื่นข้อเสนอ ขอซื้อตัวมาด้วยราคาที่แพงที่สุดในโลกในสมัยนั้น 15 ล้านปอนด์ การตัดสินใจครั้งนี้หากเป็นคนอื่นคงไม่ง่ายนัก ที่จะเลือกทำตามความฝันแต่อนาคตยังคลุมเคลือ กับเลือกอนาคตที่สดใสโดยละทิ้งความฝัน

แต่ใครคนนั้นเป็นอลัน เชียร์เรอร์ ผู้วิ่งไล่ตามความฝัน เค้าเลือกที่จะทำตามความฝัน โดยปฏิเสธท่านเซอร์อเล็กซ์เป็นครั้งที่สอง เซ็นสัญญาร่วมงานกับเควิน คีแกน ฮีโร่สมัยเด็กที่เป็นผู้จัดการทีมอยู่ ย้ายมาอยู่กับทีมรัก ใส่เสื้อลายทางขาว-ดำ ลงเตะในสนามเซ็นต์เจมส์ ปาร์ค ฟังเสียงแฟนบอลตะโกนเรียกชื่อเพื่อเชียร์เค้า เป็นฝันที่เป็นจริง

10 ปีต่อมา กับทีมนิวคาสเซิล เชียร์เรอร์ไม่มีแชมป์ประดับเกียรติประวัติเพิ่มเติมใดๆแม้แต่ใบเดียว ไม่ว่าจะใบเล็กใบใหญ่ ทำได้ดีที่สุดเพียงรองแชมป์ นำมาซึ่งการตั้งคำถามว่าเชียร์เรอร์คิดผิดหรือไม่ เพราะหากตอนนั้นเชียร์เรอร์เลือกแมนยู จะได้แชมป์ทุกแชมป์ ไม่ว่าจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ชิพ เอฟเอคัพ ลีกคัพ หรือแม้แต่ถ้วยใบใหญ่ที่สุดในยุโรปอย่างยูโรเปี้ยนคัพ เชียร์เรอร์มีเพียงสถิติและตำแหน่งส่วนตัวเป็นของปลอบใจ อาทิ เป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลลของพรีเมียร์ชิพ, ได้รับการโหวตให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของอังกฤษ 2 สมัย, ทำลายสถิติการยิงประตูสูงสุดของทีมนิวคาสเซิล, เป็นดาวซัลโวในฟุตบอลยูโร 96 ในนามทีมชาติอังกฤษ, เป็นกัปตันทีมชาติอังกฤษและเป็นกัปตันสโมสรนิวคาสเซิล ฯลฯ

หากมองด้วยสายตาของบุคคลภายนอก 10 ปีนี้ เป็น 10 ปีที่ว่างเปล่าของเชียร์เรอร์อย่างแท้จริง แต่ชาวจอร์ดี้(ชาวเมืองนิวคาสเซิล)ไม่คิดอย่างนั้น เชียร์เรอร์ได้ให้อะไรกับทีมนิวคาสเซิลมากกว่าตำแหน่งแชมป์ โดยเฉพาะการเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเด็กๆในเมือง ความเป็นสุภาพบุรุษ เชียร์เรอร์ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยในเรื่องความประพฤติทั้งในและนอกสนาม ความมุ่งมั่นทุ่มเทในการทำหน้าที่นักเตะและกัปตันทีม การอุทิศตนเพื่อประโยชน์สาธารณะ สิ่งเหล่านี้เชียร์เรอร์ไม่เคยขาด

ถ้ามีคนถามผมว่าเชียร์เรอร์ประสบความสำเร็จในการค้าแข้งกับนิวคาสเซิลหรือไม่ หากคำว่า “ประสบความสำเร็จ” นั้นประเมินจากจำนวนแชมป์ที่เชียร์เรอร์ทำได้กับทีม ผมจะตอบว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

แต่หากคำว่า “ประสบความสำเร็จ” นั้นประเมินจากการได้รับการยกย่องจากแฟนบอล และบุคคลทั่วไป (โทนี แบลร์ นายกฯอังกฤษ ก็ยกย่องด้วยนะครับ) ในฐานะนักฟุตบอลอาชีพทั้งในและนอกสนาม ประเมินจากคนที่มีความฝัน และทำได้อย่างที่ฝันไว้ รวมทั้งเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ ที่กล้าที่จะขว้างทิ้ง อนาคตอันสดใสเพื่อเดินตามความฝันของตัวเอง ผมว่าเชียร์เรอร์นี่แหละครับ แชมป์ตัวจริงเสียงจริง

Stand up if you love shearer

Saturday, April 08, 2006

ดื้อแพ่ง

หลายคนคงจำหนังเรื่องหนึ่งเมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อนที่สร้างจากนิทาน (หรือนิยาย)ของอังกฤษ ที่พระเอกเป็นโจรที่ปล้นคนรวยช่วยคนจน อย่างโรบินฮู้ดได้ ในหนังเรื่องนี่สร้างให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโรบินฮู้ดมิได้ปรารถนาจะเป็นโจร ตัวโรบิ้นฮู้ดเองก็ไม่ได้เป็นโจรโดยกำเนิด และก็ไม่ได้มีสันดานโจรแทรกซึมอยู่ในสายเลือด แต่ที่มาเป็นโจรเพราะถูกอำนาจรัฐรังแก บังคับ ข่มเหงอย่างไม่มีทางสู้ ดังนั้นเมื่อเป็นคนดีในสังคมก็ไม่ได้ ก็ไม่เป็นโจรซะให้รู้แล้วรู้รอดไป

หากใช้แนวความคิดที่ว่าเมื่อรัฐไม่สามารถให้ความเป็นธรรมแก่ตนเองได้แล้ว คนๆนั้นจะปฏิบัติตัวอย่างไร จะให้ทนทนไปจากการกระทำของอำนาจรัฐ โดยคิดซะว่าเป็นกรรมเก่าที่เคยทำมาในชาติที่แล้ว หรือว่าช่างมันถือว่าอโหสิ แล้วก็แล้วกันไปหรือ แน่นอนครับบางคนทำได้ แต่บางคนทำไม่ได้ ไอ้คนที่ทำไม่ได้ หากไม่ได้ตัดสินใจเป็นอาชญากรอาชีพ ก็คงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับความไม่ชอบธรรมของอำนาจรัฐที่กระทำต่อตนเอง หากโรบินฮู้ดเกิดช้ากว่านี้ซัก 200-300 ปี คงไม่เลือกที่จะไปเป็นโจรอยู่ในป่าเชอร์วู๊ดเป็นแน่ เพราะมีทฤษฎีใหม่ที่เกิดขึ้นมาเพื่อใช้ในการต่อสู้กับอำนาจรัฐที่เรียกว่า “อารยะขัดขืน”

ความจริงแล้วผมออกจะงงงงอยู่กับคำว่า “อารยะขัดขืน” อยู่ไม่น้อยทีเดียว เพราะโดยถ้อยคำดูสวยหรู แต่ไม่สื่อให้เห็นถึงความนัยของมัน ซ้ำร้ายจะถูกมองอย่างมีอคติว่า การขัดขืนอย่างมีอารยะหมายถึง การขัดขืนที่ฝรั่งผู้ดีตีนแดงเค้าใช้กัน แล้วไอ้คนอย่างผมที่ยังไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าไหร่ว่าตัวเองมีอารยะกะเค้าหรือเปล่าจะขัดขืนอย่างนั้นบ้างได้ไหม

แต่หากเรียกชื่อเดิมของมันก่อนที่จะถูกตั้งชื่อใหม่ว่า “ดื้อแพ่ง” หลายคนคงถึงบางอ้อได้ในทันที ดื้นแพ่งเป็นคำจากไหนผมไม่รู้ แต่ผมเดาว่าคงแปลมาจากภาษาอังกฤษที่ว่า “civil (แพ่ง) disobedience (ดื้อ)” รู้แต่ว่าเป็นคำที่ได้ยินตั้งแต่เด็กๆ เป็นคำที่บรรดา ครูบาอาจารย์ หรือพ่อแม่ผู้ปกครองใช้ตำหนิติเตียนลูกศิษย์ลูกหา หรือลูกตัวเองในกรณีที่ เด็กๆไม่ยอมทำตามคำสั่งที่ท่านเหล่านั้นให้ไว้ ซึ่งผมขอใช้คำว่า “ดื้อแพ่ง” ในบล็อกตอนนี้นะครับเพราะไม่ค่อยชินกะไอ้การขัดขืนอย่างมีอารยะ

ตามตำราฝรั่งเค้าบอกว่า ดื้อแพ่ง คือการกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายอย่างสันติวิธี เป็นการกระทำในเชิงศีลธรรม เป็นการประท้วงหรือคัดค้านคำสั่ง กฎหมายของผู้ปกครองที่อยุติธรรม หรือเป็นการต่อต้านการกระทำของรัฐบาลที่ประชาชนเห็นว่าไม่ถูกต้อง

การดื้อแพ่งจึงเป็นการที่การ “จงใจ” กระทำที่ผิดต่อกฎหมายอย่างชัดเจน แต่จงใจเพื่อประท้วงการกระทำของอำนาจรัฐ หรือประท้วงกฎหมายที่ไม่มีความชอบธรรม โดยอ้างอำนาจ หรือมโนธรรมที่อยู่เหนือกว่ากฎหมายมาเป็นข้อโต้แย้ง หากอธิบายตามหลักนิติปรัญชา สำนักกฎหมายธรรมชาติ ก็จะได้ว่ากฎหมายย่อมมีลำดับศักดิ์ต่างกัน กฎหมายที่ลำดับศักดิ์ต่ำกว่าย่อมไม่อาจขัดแย้งกับกฎหมายที่มีลำดับศักดิ์สูงกว่า กฎหมายบ้านเมืองแม้ได้ออกมาโดยอาศัยอำนาจของผู้ปกครองสูงสุด ก็ไม่อาจขัดกับกฎธรรมชาติที่มีลำดับศักดิ์สูงที่สุดได้

แนวความคิดเรื่องดื้อแพ่งนี้ ออกจะขัดกับมโนสำนึกที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจของประชาชนทั่วไปที่ว่าบุคคลมีหน้าที่ต้องปฎิบัติตามกฎหมาย ดูเผินๆอาจเหมือนกับอาชญากร หรือพวกโจรผู้ร้ายที่กระทำผิดกฎหมายเพื่อให้เกิดผลร้ายแก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ แต่ผู้ดื้อแพ่งหาได้คิดเช่นเดียวกับโจรไม่ ผู้ดื้อแพ่งยังคงเคารพกระบวนการยุติธรรมทางศาล การจงใจทำผิดกฎหมายมิได้เกิดขึ้นเพื่อเจตนาทำให้เสื่อมเสียหายแก่สิทธิของผู้บริสุทธิ์ หากแต่ต้องการนำประเด็นความไม่ชอบธรรมของอำนาจรัฐขึ้นมาให้สาธารณะขบคิดถึงผลเสียหายที่มากกว่าการเสียหายแบบธรรมดา ดังนั้นผู้ดื้อแพ่งทุกคนจะรอคอยการพิจารณาของศาลอย่างใจจดใจจ่อ เพื่อที่จะได้นำเสนอประเด็นอธิบายให้สาธารณะเข้าใจ หากมีคำตัดสินอย่างไรก็ต้องยอมรับโทษตามการกระทำความผิดของตน

การดื้อแพ่งนั้นมีส่วนที่ใกล้เคียงกับการก่อการร้ายตรงที่ปฏิเสธอำนาจรัฐที่ตนเห็นว่าไม่ชอบธรรม หากแต่การดื้อแพ่งนั้นเลือกใช้สันติวิธี แทนการวางระเบิด หรือลอบยิงประชานผู้บริสุทธิ์ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วการดื้อแพ่งมักจะทำร้ายเพียงแค่สิทธิของตัวเองเท่านั้น หรืออย่างมากแค่จัดการชุมนุมรบกวนสิทธิในการสัญจรไปมาของบุคคลอื่น

บล็อกตอนนี้มิได้เกิดขึ้นมาเพื่อชี้ให้เห็นว่าการกระทำของอาจารย์จุฬาฯที่ฉีกบัตรเลือกตั้งนั้นถูกหรือผิด เพียงแต่อยากเห็นกระบวนการของการใช้สิทธิในอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่พบเห็นในระบบกฎหมายประเทศไทย หากศาลตัดสินว่าการฉีกบัตรเลือกตั้งดัวกล่าวเป็นความผิด ก็คงต้องยอมรับ แต่ผมอยากเห็นกระบวนการใช้สิทธิทางศาล เพื่อสร้างบรรทัดฐานของการดื้อแพ่ง อันเป็นสิทธิอย่างนึงในระบบประชาธิปไตยทางตรง อย่างน้อยที่สุดผมอยากเห็นคำพิพากษาที่พิจารณาในส่วนของการใช้สิทธิ เช่น สิทธิที่เป็นฐานของการกระทำดื้อแพ่งมีหรือไม่ตามระบบกฎหมายไทย วิธีการใช้สิทธิที่ถูกต้องที่ศาลยอมรับได้ หรือขอบเขตของการใช้สิทธิ เป็นต้น

การชุมนุมของบรรดาพันธมิตรได้เปิดมิติใหม่ทางการเมืองอันเป็นประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งผมเห็นว่าหากจะเรียกร้องให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการนั้น นอกจากการติดอาวุธทางปัญญาแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือการติดอาวุธทางกฎหมายกรับ

Wednesday, March 22, 2006

บ่นการเมือง(แก้นอนไม่หลับ)

ช่วงนี้หายหน้าหายตาไปจากวงการบล็อกเกอร์ก็เนื่องมาจาก(ข้ออ้างหลักคือ) ติดภารกิจการศึกษา แต่ความจริงเกิดจากอาการป่วยของโรคขี้ขึ้นสมอง อันได้แก่ ขี้เกียจ กับขี้กลัว ไอ้เรื่องขี้เกียจนี่สงสัยเป็นโรคที่รักษายังไงก็คงไม่หาย นี่ถ้าคำพังเพยของไทยเราเป็นจริงที่ว่า “ขี้เกียจตัวเป็นขน” สงสัยว่าผมคงเป็นมนุษย์ที่มีขนเยอะที่สุดคนนึงของโลกเลยทีเดียว (ฮา)

ส่วนขี้กลัวเกิดจาก กลัวว่าเขียนแล้วจะมีคนเข้ามาด่า หรือเขียนแล้วซ้ำกับของคนอื่นกลายเป็นฟังขี้ปากเค้ามาพูด หรือเขียนแล้วคนอ่าน อ่านไม่รู้เรื่อง เลยไม่ได้ลงมือเขียนตอนใหม่ขึ้นมา ทั้งๆที่คิดอยากจะเขียนเกี่ยวกับการเมืองที่ร้อนระอุอยู่ในปัจจุบัน บล็อกตอนที่ท่านอ่านอยู่นี้ เกิดขึ้นมาไม่ใช่เพราะผมชนะความกลัวหรอกครับแต่เพราะนอนไม่หลับเลยลุกขึ้นมาหาอะไรทำ ซึ่งออกตัวก่อนว่าตัวผมเอง ความรู้ก็ไม่ได้มีมากมายอะไร แค่อยากจะแสดงความคิดเห็นบ้างก็เท่านั้น ถ้าใครไม่เห็นด้วยก็บอกกล่าวกันได้ครับ แต่อย่าถึงกับด่าทอกันเลยนะครับ เราคนไทยต้องไม่เครียดครับ (ฮา)

-1-

ย้อนกลับไปวันที่คุณทักษิณประกาศยุบสภา วันนั้นผมได้มีโอกาสที่จะเข้าชื่อตรวจสอบคุณทักษิณ เรื่องจริยธรรมผู้นำ ในกรณีการขายหุ้นชินคอร์ป และตรวจสอบจริยธรรมบรรดาเนติบริกรทั้งหลาย แต่ผมก็ได้ปฏิเสธไปทั้งสองรายการ โดยรายการแรก ด้วยเหตุผลที่ว่า ผมไม่เห็นว่าการไม่เสียภาษีจะเกี่ยวข้องกับจริยธรรมตรงไหน จริงๆ ถ้าจะตรวจสอบถึงความไม่ชอบมาพากลในการขายหุ้นชินคอร์ปของครอบครัวคุณทักษิณ ผมว่าไม่น่าจะชูประเด็นภาษีมาเป็นประเด็นหลัก ประเด็นหลักน่าจะเป็นเรื่องกิจการที่ชินคอร์ปดำเนินการอยู่คือกิจการที่เป็นสัมปทานของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นโทรคมนาคม หรือดาวเทียม หรือโทรทัศน์ ซึ่งในอดีตถือว่าเป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศที่ รัฐจะต้องเป็นผู้ดำเนินการด้วยตนเองทั้งสิ้น แต่กิจการเหล่านี้กลับตกอยู่ในมือของนิติบุคคลไทยที่ถูกครอบงำโดยบุคคลต่างด้าว เรืองความมั่งคงต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน จึงควรจะมีการทบทวนในเรื่องพวกนี้ให้เร็วที่สุด

สำหรับกรณีของเนติบริกร อันได้แก่ คุณวิษณุ คุณบวรศักดิ์ ผมเลือกที่จะไม่เข้าชื่อตรวจสอบจริยธรรม เพราะผมมองว่าการลงชื่อดังกล่าวเป็นลักษณะของการประจาน หรือด่าทอ ประชดประชันกันมากกว่าที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ โดยตัวผมมองว่าทั้งสองคนยังมีประโยชน์ต่อประเทศชาติ เพียงแต่ตอนนี้หลงผิดฝ่ายไปหน่อย ถ้ากลับตัวกลับใจสังคมคงจะให้อภัย (หรือเปล่า??) สำหรับ อ.บวรศักดิ์ ผมอยากให้แกกลับมาเขียนหนังสือกฎหมายมหาชนต่อให้จบ (ค้างอยู่ 2 เล่ม) หนังสือกฎหมายมหาชนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นตำรากฎหมายมหาชนภาษาไทยที่ดีที่สุดเท่าที่เมืองไทยเคยมี ส่วน อ.วิษณุ ด้วยบุคลิกภาพ ความมั่นใจในตัวเองสูงประกอบกับความรู้และ หลักการที่อัดแน่นอยู่ในตัว น่าจะกลับมาเป็นอ. สอนหนังสือเหมือนเดิม ( ผมเดาว่า อ.แกน่าจะสอนหนังสือสนุกนะ) หรือไม่ก็ไปเปิดร้านอาหารครัว ครม. ตามชื่อหนังสือ ก็น่าจะเข้าท่ากว่าเป็นเนติบริกรเป็นไหนๆ (ท่านว่าจริงมะ)

-2-

ในกรณีการยุบสภาของคุณทักษิณ ผมเห็นด้วยที่คุณทักษิณเลือกทางนี้ เพื่อที่จะหนีการกดดันจากกลุ่มพันธมิตร(ที่ไม่ใช่ทีมพากษ์หนัง)ให้ลาออก แต่ไม่ใช่เพราะว่าจะให้ประชาชนตัดสินความชอบธรรมในตำแหน่งนายกนะครับ เพราะการเลือกตั้งของประชาชนไม่ใช่ศาลที่จะตัดสินความผิดจากการกระทำของคุณทักษิณได้ แต่เนื่องจากผมเกรงว่าถ้าคุณทักษิณลาออกจากนายกในตอนนั้นจริง กระบวนการทางกฎหมายต้องมีการเลือกนายกฯ ขึ้นมาใหม่ ตรงนี้แหละครับ ผมคิดว่าคุณทักษิณจะต้องดันร่างทรงขึ้นมาเป็นนายกฯ บังหน้า โดยตัวเองเชิดหุ่นอยู่ข้างหลัง ซึ่งถ้าให้ผมสมมุติตัวเองเป็นคุณทักษิณในการเลือกนายกฯหุ่นกระบอกมาซักคน คนๆนั้นต้องมีคุณสมบัติสั่งการได้ ไว้ใจได้ จงรักภักดี ทำงานเร็ว ฉับไว ใจกล้า (หน้าด้าน??) โดยคนที่เป็นแคนดิเดทในตำแหน่งนี้ (ผมจำไม่ได้ว่าใครเป็น สส.บ้างนะครับ) ก็คือ 1. เนวิน 2. วัฒนา 3. สุรนันท์ 4. ยงยุทธ แล้วเราๆ ท่านๆ จะได้หัวเราะร่า น้ำตาริน กับนายกคนใหม่อย่างแน่นอน (ฮา แบบ ฮือๆ)

-3-

พอยุบสภาแล้ว ผมก็คิดว่าคราวนี้ไทยรักไทยต้องได้จำนวน สส. น้อยกว่าคราวที่แล้วอย่างมาก โดยเฉพาะใน กทม. และถ้าหากฝ่ายค้าน 3 พรรค อั้วกัน โดยไม่ส่งผู้สมัครตัดคะแนนกันเอง ซึ่งได้ยินข่าวแว่วมาว่า ในการเลือกตั้งคราวที่แล้ว มีเขตการเลือกตั้งที่คะแนนของประชาธิปัตย์ รวมกับพรรคมหาชน หรือชาติไทย มากกว่าคะแนนของไทยรักไทย แต่ไทยรักไทยได้เป็น สส.ไป เพราะคะแนนมันกระจายกัน ประมาณ 80 เขต ถ้ารวมกับของเก่า 124 สส. โอกาสที่จำนวนสส.ของฝ่ายค้านจะถึง 200 ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว ซึ่งถ้าได้จำนวนมากก็ตรวจสอบรัฐบาลได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และจะสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่ให้ไทยรักไทยมามีอิทธิพลได้มากนัก

แต่แล้วผมก็ต้องสะดุ้งตื่น เมื่อพรรคฝ่ายค้านรวมตัวกันฮั้วจริงๆ ครับ แต่ดันฮั้วบอยคอต ไม่ส่งคนลงเลือกตั้ง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังมีอะไรมากกว่านั้น ลำพังแค่การบอกว่าการยุบสภาไม่ชอบดัวยหลักการ หรือไม่อยากจะมีส่วนร่วมในการสร้างความชอบธรรมให้คุณทักษิณด้วยการลงแข่งขันเลือกตั้ง ผมว่ายังไม่เพียงพอ

หรือจะอ้างว่าคุณทักษิณไม่ยอมลงสัตยาบันที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อปฏิรูปการเมืองตามที่ฝ่ายค้านเสนอ ก็ไม่เพียงพอ เพราะตอนหลังคุณทักษิณก็ยอมลงสัญญาประชาคมไว้ แม้จะต่างกันในถ้อยคำ แต่โดยนัยเหมือนกัน (ไม่มีผลบังคับในทางกฎหมายเหมือนกัน (ฮา) ) คือต้องแก้รัฐธรรมนูญ เพียงแต่จะแก้วิธีไหนเท่านั้นเอง

-4-

ยิ่งฝ่ายค้านไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ยิ่งทำให้ไพ่ในมือของฝ่ายไม่เอาคุณทักษิณเหลือน้อยเต็มที จนในที่สุดวาทกรรมนายกพระราชทานก็กลับมากระหึ่มอีกครั้ง เพราะหมดทางที่จะโค่นคุณทักษิณแล้ว อันนำมาซึ่งความเห็นขัดแย้งในทางวิชาการเรื่องการใช้มาตรา 7 แห่งรัฐธรรมนูญที่ถกเถียงกันมาพอสมควร ผมจึงไม่ขอฉายซ้ำอีกครั้ง แต่ขอออกความเห็นนึดนึงว่าการใช้มาตรา 7 ไม่ใช่เป็นเพียงการฉีกรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่เป็นการฉีกตำรากฎหมายที่ผมได้เรียนมาเลยทีเดียว

ไอ้ตอนที่ได้ยินเรื่องการขอนายกพระราชทาน ผมแว่วได้ยินเสียงเพลงของน้าแอ็ด คาราบาว เพลงนึง ดังก้องขึ้นมาในหูอย่างไม่ได้นึกคิดมาก่อน ซึ่งเพลงนั้นร้องว่า.....

นาย ก. นาย ก. นาย ก. คุณจะเป็นใครก็ได้
ขอให้ประชาชนไทยได้เป็นคนเลือกนาย ก.
นาย ก. นาย ก. นาย ก...........

บทเพลงนี้ถ้าผมจำไม่ผิดเกิดในยุดพฤษภาทมิฬ เพื่อต่อต้านคุณสุจินดา ไม่ให้เป็นนายกเพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งกว่าจะได้มาก็ “เสียเลือด เสียเนื้อมิใช่เบา หน้าที่เรารักษาสืบไป” แต่ไปๆมาๆสมัยนี้ พ.ศ.นี้ กลับไม่ต้องการซะงั้น (เฮ้อ !!)

-5-

ถ้าถามผมว่าแล้วจะเอายังไงต่อไปกับการเมืองไทย ผมตั้งความหวังกับไว้ 4 ทาง

ทางแรก ผมก็ยังหวังว่าจะมีอะไรมาดลใจให้คุณทักษิณยุติบทบาททางการเมือง เพื่อเปิดโอกาสให้คนอื่นขึ้นมาบริหารประเทศบ้าง จริงๆถ้าผมเป็นคุณทักษิณ ผมกลับบ้านนอนดีกว่า ทำงานจนได้รับการให้เกลียด เอ้ย ให้เกียรติเอาชื่อคุณทักษิณไปตั้งเป็นชื่อทางวิชาการ เช่น ทางรัฐศาสตร์เรียกการปกครองแบบทักษิณว่า ทักษิณาธิปไตย ทางเศรษฐศาสตร์เรียกระบบเศรษฐกิจของทักษิณว่า ทักษิโณมิก ล่าสุด ทางมนุษย์ศาสตร์ เรียกคนที่มีความคิดเหมือนกับทักษิณว่า ทักษิณชน (อันนี้ผมตั้งเอง ตามบทความ อ.นิธิ เรื่องคนอย่างทักษิณ) ถึงขนาดนี้แล้วท่านยังจะเอาอะไรอีกกรับ

ทางสอง ให้คุณทักษิณเว้นวรรคทางการเมือง 1 สมัย เพื่อเปิดโอกาสให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือกติกาของบ้านเมืองซะก่อน แล้วคุณทักษิณค่อยกลับสมัครรับเลือกตั้งใหม่ก็ไม่สาย ตามแนว อ.วรเจตน์ แห่งท่าพระจันทร์ กับน้าแอ็ด คาราบาว

ทางสาม กกต.ปรึกษากับรัฐบาล ให้ตรา พระราชกฤษฎีกาแก้ไขวันเลือกตั้งเนื่องจากเห็นว่า เมื่อเลือกมาแล้วจะเกิดปัญหายุ่งยาก แล้วฝ่ายค้านยอมกลับใจมาลงสมัคร และทั้งหมดร่วมกันแก้รัฐธรรมนูญ (ฟังขี้ปากเค้ามาพูด เหอ เหอ )

ทางที่สี่ สุดท้ายผมหวังว่าคะแนนเสียงของพรรคไทยรักไทย จะไม่ถึง 50 % ของจำนวนคนที่ออกมาใช้สิทธิ ตามที่คุณทักษิณประกาศไว้ ว่าจะไม่เป็นนายก ดังนั้นพวกเราชาวบล็อกเกอร์ทั้งหลาย เพื่อเห็นแก่ที่คุณทักษิณ.........จนเหนื่อยแล้ว อยากให้คุณทักษิณพักผ่อนซะที กรุณากาช่องไม่ลงคะแนน เพื่อส่งคุณทักษิณกลับไปพักผ่อนที่บ้าน

กรับ......

Tuesday, February 14, 2006

กฎหมายมหาชนภาคพิศดาร ตอนหลักความได้สัดส่วน ฉบับนักช็อป

หลังจากที่ผมได้ศึกษากฎหมายมหาชน จากสำนักท่าพระจันทร์ มาได้นานพอที่ทางคณะจะอัญเชิญผมออก โทษฐานใช้เวลานานเกินสมควร(จะขอต่อเวลาก็ไม่ให้) ทำให้ผมพบว่าหลักการทางกฎหมายมหาชน หลายๆหลักการสามารถประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันที่ไม่เกี่ยวกับกฎหมายได้มากมายนัก (ซึ่งเข้าข่ายใกล้เพี้ยนเข้าไปทุกที) แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว (อุตส่าห์บ้าคิดได้ ก็บ้านำเสนอได้วะ) ผมจึงนำเสนอผลงานชิ้นแรก “หลักความได้สัดส่วน ฉบับนักช็อป” โปรดทัศนา

ตามสังคมวัตถุ-บริโภคนิยม หลายคนคงประสบปัญหากับการใช้จ่ายเงิน หรือปัญหาการบริหารกิเลสภายในใจ เพราะสมัยนี้เดินทางไปไหนมาไหนเห็นสินค้าวางขายมากมาย ไอ้นู่นก็อยากได้ ไอ้นี่ก็อยากมี ถ้ามีกำลังทรัพย์ก็จับจ่ายใช้สอยอย่างเมามัน ถึงสิ้นเดือนสำหรับคนใช้บัตรเครดิตเห็นบิลเรียกเก็บเงินเข้าคงลมจับ หรืออย่างตัวผมเองจะเห็นผลตอนกดเงินATMช่วงปลายๆเดือน ที่เงินเดือนของเดือนใหม่ยังไม่เข้าบัญชี ต้องพึ่ง มาม่าประทังชีวิตอยู่เป็นนิจ เข้าข่ายเที่ยวสนุกทุกข์ตอนจ่าย

แต่ท่านทั้งหลาย อย่าพึ่งอับจนหนทาง ผมมีหลักวิธีการช็อปปิ้งอย่างสนุกสนานโดยไม่ทุกข์ตอนจ่าย โดยประยุกต์เอากับหลักการกฎหมายมหาชนทางถนัดของผมมานำเสนอ เรียกว่า “หลักการช็อปปิ้งอย่างได้สัดส่วน” มีที่มาจาก “หลักความสัดส่วน” ในกฎหมายมหาชนนั่นเอง

-1-
จากหลักนิติรัฐซึ่งเป็นหลักการพี่ใหญ่ในกฎหมายมหาชน ที่จำกัดอำนาจรัฐให้อยู่ภายใต้กฎหมายนั้น มีหลักการย่อยๆต่างๆมากมาย และหลักการสำคัญหลักหนึ่งคือ “หลักความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำทางปกครอง” หลักการนี้กำหนดว่าฝ่ายปกครองจะกระทำการใดๆที่เป็นการลิดรอนสิทธิของปัจเจกบุคคล ต้องมีกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติให้อำนาจไว้เสียก่อนจึงจะทำได้ หรืออาจจะเรียกว่า “ไม่มีกฎหมาย ไม่มีอำนาจ” แต่ในทางความเป็นจริง ฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถที่จะออกกฎหมายให้มีความครอบคลุมถึงทุกการกระทำของฝ่ายปกครองได้จึงทำได้เพียงออกกฎหมายกำหนดกรอบแห่งอำนาจ ให้ฝ่ายปกครองดำเนินการภายในกรอบที่กำหนด

แต่ถึงจะมีกฎหมายให้อำนาจแล้ว ฝ่ายปกครองก็หาอาจกระทำการได้ตามอำเภอใจไม่ ยังคงต้องเคารพหลักการทางกฎหมายอีกหลักการหนึ่งที่เรียกว่า “หลักความได้สัดส่วน” ซึ่งประกอบไปด้วย 3 หลักการย่อยดังต่อไปนี้
1. หลักสัมฤทธิ์ผล หลักการนี้บอกว่า ฝ่ายปกครองจะใช้มาตราการทางปกครองใด มาตราการนั้นต้องก่อให้เกิดผลดังที่ฝ่ายปกครองต้องการให้เกิด
2. หลักความจำเป็น หลักการเรียกร้องให้ฝ่ายปกครองครีเอทมาตรการที่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามข้อแรกมาหลายๆมาตรการ แล้วให้เลือกดูว่ามาตรการใดก่อให้เกิดผลกระทบสิทธิของปัจเจกบุคคลน้อยที่สุด มาตรการนั้นแหละเป็นมาตราการที่จำเป็น
3.หลักความได้สัดส่วนในความหมายอย่างแคบ หลักการนี้เป็นปราการด่านสุดท้ายก่อนที่การกระทำทางปกครองจะมีผลไปกระทบสิทธิของเอกชน ซึ่งหลักการนี้บอกว่า ให้ชั่งน้ำหนักระหว่าง ประโยชน์ที่ปัจเจกบุคคลต้องเสียไปกับประโยชน์สาธารณะที่จะได้รับว่ามันได้สัดส่วนกันหรือป่าว คุ้มไหมที่จะต้องริดรอนสิทธิของคนๆหนึ่งเพื่อให้สาธารณะได้ประโยชน์

จากหลักการนำมาสู่วิธีการใช้ ก็ง่ายมาก
1.ดูวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่ให้อำนาจฝ่ายปกครองซะก่อน แล้วค่อย
2.กำหนดมาตราการที่จะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น
3. ดูว่าไม่มีมาตรการอื่นที่ดีกว่านี้ และ
4. พิจารณาว่าสิทธิของเอกชนที่จะเสียไปคุ้มหรือป่าว กับประโยชน์ที่สาธารณะจะได้รับ

-2-
หลายคนคงสงสัยแล้วที่ว่ามาทั้งหมดเกี่ยวอะไรกับการช็อปปิ้งวะ??? ถ้างั้นโปรดดูต่อครับ

หลักการช็อปปิ้งอย่างได้สัดส่วน

หลักการนี้เรียกร้องให้นักช็อปทั้งหลายสมมุติว่าตัวเองเป็นฝ่ายปกครอง กำลังจะลิดรอนเงินในกระเป๋าตนเอง ดังนั้นนักช็อปทั้งหลายพึงใช้อำนาจเงินด้วยความระมัดระวังเพราะมันจะทำให้ท่านทุกข์ในตอนหลัง

หลักข้อที่หนึ่งบอกว่า ท่านต้องตั้งวัตถุประสงค์ในการใช้เงินซะก่อนที่ท่านจะออกช็อปปิ้ง ว่าของสิ่งใดที่จะดึงดูดเงินออกจากกระเป๋าของท่านได้ ของสิ่งนั้นจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องซื้อ โดยให้ถือว่าของที่ท่านตั้งใจจะซื้อเป็นเสมือนกฎหมายที่อนุญาตให้ท่านใช้เงินได้ การซื้อสิ่งของโดยที่ท่านมิได้ตั้งวัตถุประสงค์ไว้ล่วงหน้าถือเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจกระทำได้ มิชอบด้วยกฎหมาย หากพบเห็นของที่อยากได้โดยบังเอิญ หลักการนี้บอกให้ท่านกลับไปทบทวน ตั้งเป็นวัตถุประสงค์ขึ้นใหม่ในใจ แล้วค่อยกลับมาซื้อใหม่ในการช็อปคราวหน้า

หลักข้อสองบอกว่า เมื่อไปเดินช็อปแล้ว ท่านต้องซื้อที่ท่านตั้งใจไว้เท่านั้น ถ้าของสิ่งใดที่ท่านไม่ได้ตั้งใจไว้กรุณาอย่าซื้อ ควรทำเพียงแค่ดู เก็บข้อมูลราคา สถานที่ขาย ไว้คราวหน้าค่อยมาซื้อ เช่นบางคนตั้งใจไปซื้อเสื้อ แต่กลับได้กลับมาครบชุดทั้งรองเท้า กางเกง อันนี้ถือว่าผิดหลักการ มิชอบด้วยกฎหมายนะครับ แต่ถ้าท่านอดใจไม่ไหวจริงๆ หรือมีการลดราคาสะบั้นหั่นแหลกประเภทลดทลายสต็อก หรือเป็นของที่บังเอิญตามหามานาน ประหนึ่งพานพบพี่น้องที่พลัดพรากมาตั้งแต่ยังเด็ก หรือมีเหตุอื่นใดที่มิอาจก้าวล่วงได้ หลักการนี้ยังคงเห็นใจท่านอยู่ อนุโลมให้ท่านใช้จ่ายเงินไปก่อนได้ แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง (แหะๆ ข้อยกเว้นนี้ผมใช้บ่อย)


หลักข้อสาม นี่ต้องพิจารณาในเชิงลึก ซึ่งหลักการบอกว่า ของแต่ละอย่างก็มีหลายยี่ห้อ หลายราคา ซึ่งแต่ละยี่ห้อ หรือแต่ละราคาก็มีคุณสมบัติที่ต่างกันไป ฉะนั้นควรพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่ายี่ห้อไหน ราคาใด ที่จะเหมาะกะกระเป๋าตังส์และวัตถุประสงค์ในการใช้ของตัวเองที่สุด เช่นเงินเดือน 8 พัน จะใส่เสื้อเวอร์ซาเช่ แม้ว่าเวอร์ซาเช่จะใส่สบายแต่ก็(อ่ะนะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านต้องใช้เสื้อตราห่านคู่เพียงยี่ห้อเดียวนะครับ) หรือท่านจะไปตีแบดออกกำลังกาย ท่านก็ควรเลือกซื้อไม้แบดอันที่เหมาะสมกับการใช้ออกกำลังกาย ไม่ใช่ซื้อไม้แบดอย่างดี ไม่มีขอบ ทำจากเหล็กที่ใช้ทำยานอวกาศ อันละ 5 พันก็ใช่ที่ ท่านไม่ได้ไปแข่งชิงแชมป์โลกนะครับ และอีกประการหนึ่งอย่าซื้อเผื่อครับ เอาที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น เมื่อพิจารณาดูหลายๆด้าน แล้วค่อยตัดสินใจเลือกซื้อ

หลักการสุดท้ายนี้สำคัญมากครับ เพราะเป็นปราการด่านสุดท้ายก่อนที่เงินจะไหลจากกระเป๋าของท่านไปสู่กระเป๋าของคนอื่น หลักการนี้เรียกร้องให้ท่านชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ที่ท่านจะได้จากสิ่งของที่ท่านซื้อกับจำนวนเงินที่ท่านเสียไปว่ามันสัดส่วนกันหรือไม่ คุ้มค่ากับเงินที่ท่านจะต้องจ่ายหรือไม่ และประโยชน์ที่ว่าต้องไม่ใช่เพื่อสนองอารมณ์ชั่ววูบของตนเอง (ซึ่งผมเป็นบ่อยมาก) ดังนั้นเพื่อป้องกันอารมณ์แบบว่าเห็นแล้วต่อมกิเลสเกิดปฏิกริยาผลิตสารอยากได้ กระตุ้นให้เราอยากซื้อขึ้นมา ซึ่งพอซื้อมากลับรู้สึกงั้นๆอ่ะ ไม่ได้ใช้หรือไม่ก็ทิ้งหายไปไหนก็ไม่รู้ เสียดายเงิน ท่านอาจตรวจสอบได้ง่ายๆ โดยเมื่อท่านเลือกของได้แล้ว ถือไว้ในมือจ้องมองมันสัก 10 วินาที แล้วหลับตา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ประมาณ 3 ครั้ง ระหว่างสูดลมหายใจเข้าก็คิดไปด้วยว่า "ซื้อดีไม๊วะ" หากเสร็จแล้วท่านยังคงไม่เปลี่ยนใจ ก็เป็นอันผ่านฉลุยครับ

หลักการที่พล่ามมา เอ้ย พูดมาทั้งหมด ไม่ได้บอกให้ท่านตระหนี่ถี่เหนียวนะครับ เพียงแต่ให้ท่านใช้จ่ายเงินอย่างมีสติเท่านั้น หากเห็นว่าไม่มีประโยชน์ก็อ่านเอาขำขำนะครับ อย่าคิดมาก แต่ผมว่าลองนำไปใช้แล้วจะติดใจ 555

Wednesday, February 01, 2006

เรื่องแต่ง(ภาคเอากะเค้ามั่ง)

I am………………….
เสียงเพลงไอ แอม ของ บอง โจวี่ ที่ผมตัดทำเป็นริงโทน เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ในช่วงบ่ายของวันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังจะแอบหลับในระหว่างทำงาน ผมหยิบมือถือขึ้นมาดูอย่างหงุดหงิด “ใครวะโทรมากวนเวลานอน” ผมบ่นในใจ แต่ก็ต้องรีบรับโทรศัพท์ทันที

“ครับ แม่ มีอะไรรึป่าวครับ” ผมพูดขณะปรับอารมณ์ไม่ให้มีน้ำเสียงหงุดหงิด
“ก็ไม่มีอะไรหรอก แต่วันเสาร์นี้ไปไหนหรือป่าว” แม่ผมถามอย่างมีเลศนัย
“ไม่ได้ไปไหน ครับ มีอะไรหรือป่าวครับ” ผมตอบพลางนึกทบทวนว่า เมื่อเสาร์ที่ผ่านมาพึ่งโดนแม่ลากเข้าวัดหาพระหาเจ้า ทั้งๆที่วิตามินแอลยังออกฤทธิ์อยู่ในหัวผม นั่งฟังพระสวดมนต์ด้วยความทรมาน

“นึกว่าจะไปชุมนุมกะเค้าด้วย รู้ป่าวไอ้อ้วนมันจะไปชุมนุมกะเค้าด้วยนะ” แม่พูดถึงพี่ชายผมอย่างเป็นห่วง ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจอะไร เพราะรู้ดีว่าพี่ชายผมเป็นแฟนรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ของสนธิ หนังสือทุกเล่ม ซีดีทุกแผ่น พี่ผมมีหมด
“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนิ มันโตแล้วนะครับ” ผมตอบตามความเห็น
“แม่ก็เป็นห่วงซิ ไปกะอีตาสนธิ”
ออ!! อย่างนี้นี่เอง แม่ผมไม่ชอบสนธิอย่างแรง เนื่องจากรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ที่แม่เคยชอบดู เลิกเชียร์ท่านนายกฯ แถมยังกลับมาด่าอย่างหยาบๆคายๆ
“ถ้าไปกะมหาจำลอง แม่คงไม่ห่วง” ผมยกนักการเมืองคนโปรดของแม่มาประชด

“ไปกะใคร แม่ก็ห่วงทั้งนั้นแหละ” แม่ผมโต้กลับ “คุยกะมันให้แม่หน่อยซิ แม่พูดจนปากจะฉีกแล้ว มันก็ไม่ฟัง”
ผมนึกปฏิเสธในใจทันที “ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวโดนข้อหาไม่รักชาติ ไม่จงรักภักดี เป็นพวกทักษิณ” เพราะเคยปะทะคารมกันบ่อยๆ
“เค้าก็ใช้เสรีภาพในการชุมนุมของเค้า ตามรัฐธรรมนูญเท่านั้นเอง ชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ แม่ไม่ต้องห่วงหรอก” ผมอ้างรัฐธรรมนูญ เพื่อหาทางเลี่ยงหน้าที่ที่แม่มอบหมายให้

“สิทธิทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญที่จะคัดค้านนายกฯ ก็มีหลายทาง ก็พวกเข้าชื่อถอดถอน หรือไม่ก็ขีดๆเขียนๆ แสดงการคัดค้านก็ได้นิ ไม่เห็นจะต้องไปชุมนงชุมนุมอะไรกะเค้าด้วยเลย” แม่สวมวิญญาณอดีตคุณครู บรรยายวิชารัฐธรรมนูญให้ผมฟัง
“เอาน่าแม่ ปล่อยมันไปเหอะ มันก็โตแล้วนะ อายุจะ 30 แล้ว เรียนก็สูงเอาตัวรอดได้แหละ” ผมเริ่มอัปจนปัญญา งัดเอาอายุกับการศึกษามาอ้าง
“โตแต่ตัวนะซิ ทำอะไรไม่เคยคิดถึงหัวอกคนเป็นแม่บ้างเลย แม่เลี้ยงมากว่าจะโตได้ขนาดนี้.............” เสียงแม่ผมสั่นๆ และก็เงียบไป

“มันคงแค่ไปดูแล้วก็กลับแหละครับ แม่อย่าคิดมากเลย” ผมปลอบ
“แม่กลัวเค้าเอาทหารมายิงน่ะซิ นั่นไม่เลือกหรอกว่าใครมาดู ใครมาชุมนุม”
“จำอาเปี๊ยกได้ไหม นั่นก็ไปแค่ดู หายไป 3 วัน นึกว่าโดนยิงตายไปแล้ว โชคดี ตอนที่เค้ายิงกัน วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไปมุดเข้าบ้านใครก็ไม่รู้ แต่เจ้าของเค้าใจดี ให้หลบอยู่เลยรอดมาได้” แม่ผมเล่าราวกับประสบเหตุด้วยตนเอง

“แม่ครับ สมัยนี้แล้ว เค้าไม่ทำกันอย่างนั้นแล้วแหละ” ผมพูดไปหัวเราะไป ที่แม่ขุดเอาการเมืองยุคเก่ามากล่าวอ้าง
“ทำเป็นเล่นไป” แม่ผมดุเสียงเขียว
“คนมันหลงอำนาจ ทำได้ทุกอย่างแหละ เสียสัตย์เพื่อชาติยังมีคนทำมาแล้วเลย” แม่แขวะอดีตนายกฯคนนึง
“จำป้าจิตเพื่อนแม่ที่ได้เป็นผอ.โรงเรียนได้ป่าว นั่นแค่ผอ.นะ ยังบ้าอำนาจซะขนาดนั้น แล้วอำนาจระดับนี้ อย่าทำเป็นล้อเล่นนะ” แม่ผมงัดเอาน้ำร้อนที่แม่เคยอาบ มาราดตัวผม
“เดี๋ยวเกิดมีมือที่สามเข้ามาวุ่นวาย นี่เห็นข่าวว่าจะมีปาระเบิดด้วยนิ แม่ก็กลัวซิ”


“ไม่ดีหรือแม่ แม่จะได้มีลูกเป็นวีรชนเดือนกุมภาไง” ปากพาซวยของผมโพล่งออกไป ก่อนจะได้คิด
“ล้อเล่น ครับ” ผมรีบแก้ตัว


“................................................................”

แม่ผมเงียบไปพักใหญ่
“จะรักชาติ รักประชาธิปไตย ก็อย่าลืมรักแม่ด้วยละกัน” แม่ผมทิ้งท้ายก่อนวางสายไป