Wednesday, September 07, 2005

สงครามก๋วยเตี๋ยวเรือ

เที่ยงวันของวันเสาร์วันนึงเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว หลังจากที่ผมและผองเพื่อนทั้งหมดนับหัวรวมได้ 13 คน เสร็จสิ้นภารกิจการวิ่งไล่หวดลูกหนัง แถวๆซอยโยธี ใกล้ๆกับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ภายใต้ความเหน็ดเหนื่อยตามประสาคนนานๆออกกำลังกายที พวกผมก็เดินทางออกจากสนามบอลด้วยอาการของคนหิวโหยขนาดกินช้างได้คนละตัว มุ่งหน้าไปยังอนุสาวรีย์ชัยฝั่งถนนพหลโยธินอันเป็นบริเวณที่สิงสถิตของบรรดาร้านขายก๋วยเตี๋ยวเรือทั้งหลาย


ท่ามกลางแสงแดดที่สาดส่องอย่างไม่ปราณีใคร อากาศที่แสนจะร้อนอบอ้าวของตอนเที่ยงวันผสมกับความเหนื่อยล้าหลังเตะบอลมา ทำให้ผมและชาวคณะเลือกร้านก๋วยเตี๋ยวเรือที่อยู่มุมสุดที่ชื่อป๋ายักษ์ เพราะเป็นร้านเดียวในตอนนั้นที่ติดแอร์ประกอบกับโปรโมชั่นสุดพิเศษ กิน 20 ชาม แถมโค้กลิตร 1 ขวด ทำให้ผมคิดในใจ “ป๋ายักษ์เสร็จกูแน่” (แต่เอาเข้าจริง ๆ พวกผมต่างหากที่เสร็จป๋ายักษ์ เพราะโค้กลิตรที่แถมก็กินกันไม่หมด แถมแกคิดค่าแอร์พวกผมด้วยคนละ 3 บาท)



เมื่อก๋วยเตี๋ยวเรือชามแรกมาถึงผมก็ไม่รอช้ารีบจัดการโซ้ยด้วยความหิวโหย ซึ่งหากนับตั้งแต่เที่ยงวันของเมื่อวันวาน ยังไม่อะไรตกถึงท้องผมเลย นอกจากสุรา โซดา น้ำเปล่า และเกเตอร์เรท ในไม่ช้าเสียงพูดคุยในโต๊ะก็เริ่มสงบลง เมื่อทุกคนมีจุดหมายเดียวกันคือจัดการสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้หมดไป ผมกินไปได้ 2 ชาม ก็ได้ยินเสียงใครบางคนพูดออกมาว่า


“เฮ้ย”


ผมเงยหน้ามามองเจ้าของคำอุทาน เห็นมันทำหน้ากึ่งจริงจังกึ่งเล่นๆ พร้อมกับพูดว่า



“หารเท่านะโว้ย”



ทำให้ผมต้องเหลือบไปมองอนุสาวรีย์แห่งความหิวโหยที่กองอยู่ตรงหน้ามัน พร้อมกับนับคร่าวๆ มันมากกว่าของผมเท่านึง สมองผมก็เริ่มคำนวณถึงจุดคุ้มทุนหากรับปากมันไป ในขณะที่ผมกำลังคำนวณศักยภาพในการกินของตัวเองอยู่นั้น เพื่อนของผมอีกคนก็รับหลักการ “หารเท่า” ทันที โดยการทำตัวเป็นโฆษกประกาศให้ทุกคนได้ยินทั่วถึงกัน ทำให้อารมณ์ของการเอาชนะคะคานได้ปะทุขึ้นในใจของผมและของใครอีกหลายคน จริงๆไอ้เรื่องหารเท่าไม่มีใครสนใจเท่าไหร่ แต่เรื่องกินเยอะกินน้อยเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีจะยอมกันไม่ได้ ยิ่งกินเยอะกว่าคนอื่นและหารเท่า ซึ่งก็หมายความว่าเราจ่ายน้อยกว่าคนอื่น เป็นความภาคภูมิใจอย่างนึงของคนกินก๋วยเตี๋ยวเรืออนุสาวรีย์ (ไม่รู้คิดได้ไง)



สงครามก๋วยเตี๋ยวเรือจึงได้อุบัติขึ้น จากเดิมที่แต่ละคนสั่งทีละ 2 ชาม 3 ชาม กลายเป็นสั่งทีละ 5 ชาม (สั่งรวมๆกัน) จากธรรมดาที่เคยกินแค่ 6 ชามอิ่ม ก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ไม่มีใครยอมใคร ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตากินให้ได้เยอะที่สุดเพื่อสร้างความได้เปรียบตอนจ่ายตัง แต่คนที่ยิ้มแก้มปริก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ป๋ายักษ์เจ้าของร้านนี่เอง ที่อยู่ๆดีก็มีคนมาสร้าง demand ให้กับร้าน ทั้งๆที่ร้านของแก หากเปรียบเทียบเรื่องรสชาติจะด้อยกว่าร้านอื่นอย่างเห็นได้ชัด


ท่ามกลางเสียงยกธงขาวยอมแพ้ “กูไม่ไหวแล้วว่ะ” ของสหายสงครามหลายคน หาได้ทำให้ผมท้อแท้ไม่ ผมยังคงกินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง อนุสาวรีย์แห่งความหิวโหยที่ได้เปลี่ยนเป็นอนุสาวรีย์แห่งศักดิ์ศรีการกิน ก็กองสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว จนในที่สุดในสมรภูมิก๋วยเตี๋ยวเรือก็เหลือผู้รอดชีวิตอยู่เพียง 3 นาย คือผม ,เจ้าของวลี “หารเท่า” และทั่นโฆษก นับดูผลงานของแต่ละคน ผมกินได้ที่ 13 ชามเท่ากันกับไอ้เจ้าโฆษก แต่ไอ้ตัวอาชญากรสงครามมันกินได้ 14 ชาม พร้อมกับสีหน้าท่าทางที่บ่งบอกว่า “กูไม่ไหวแล้ว” ผมก็เลยถือโอกาสประกาศสงบศึก และกำลังจะยกตำแหน่งผู้ชนะให้แก่มันไป เพราะหากยังถือศักดิ์ศรีกินมากกินน้อยต่อไป ผมเล็งเห็นผลว่าไม่เป็นชูชกท้องแตกตาย ก็ต้องมีการคายของเก่าทิ้งกันบ้างล่ะ


แต่สงครามครานี้ไม่ยอมจบง่ายๆครับ เมื่อปรากฏ “ตาอยู่ร่างยักษ์” เพื่อนผมที่เดินทางจากปิ่นเกล้ามาอนุสาวรีย์ชัยเพื่อกินก๋วยเตี๋ยวเรือโดยเฉพาะ พอมันมาถึงโฆษกคนเดิมก็ประกาศกติกาอย่างไม่เกรงใจผู้มาทีหลังทันทีว่า “มาก่อน มาหลัง หารเท่าหมด” ชายร่างยักษ์ผู้มาทีหลังบ่นเป็นเชิงน้อยใจว่า “ทำไมไม่โทรมาบอกให้เร็วกว่านี้ กูเพิ่งกินข้าวไป 2 จานนะโว้ย หารเท่าเลยหรือวะ” แต่ไอ้คนที่ประกาศตัวว่าเพิ่งกินข้าวมา 2 จานนี่แหละครับ กลับมาแรงแซงทางโค้ง กินคนเดียวและรวดเดียว 16 ชาม คว้าตำแหน่งแชมป์ไปครองอย่างพลิกความคาดหมาย พร้อมกับประกาศว่า “กูยังกินได้อีกนะเนี่ย แต่เกรงใจพวกมึงต้องมานั่งรอกูกินคนเดียว” โถให้รอน่ะผมรอได้ แต่เห็นมันกินแล้ว ผมและผองเพื่อนผะอืดผะอมครับ อยากอ๊วกต่อหน้ามันให้ได้ซิหน่า ทรมานจริงๆ แทนที่จะกินกันอย่างมีความสุข นั่งคุยกันไปเพลินๆ กินพอดี ๆ ก็น่าจะพอแล้วคิดไปคิดมาก็เพราะไอ้คำว่า “หารเท่า” แท้ๆ เลยเป็นอย่างนี้


ที่มารำลึกความหลัง เพราะวันนี้ผมได้มีโอกาสไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวเรือที่อนุสาวรีย์เมื่อตอนเย็น ความเปลี่ยนแปลงที่สังเกตได้คือ ทุกร้านติดแอร์หมดแล้ว และราคาก็เพิ่มเป็น 7 บาท แต่ภายใต้เงื่อนไขเดิม คือผมยังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น มีแต่ สุรา โซดา น้ำเปล่า และกาแฟเย็น ที่ได้สัมผัสกระเพาะของผมในรอบวันที่ผ่านมา แต่ผมกินแค่ 6 ชามก็อิ่มแล้ว ทำให้ผมนั่งนึกย้อนกลับไปว่า ตอนนั้น “ยัด” เข้าไปได้ไงวะนี่ ตั้ง 13 ชาม!?!?!?

5 comments:

Etat de droit said...

แวะมาฮา

เสาร์นี้เจอกันยามเย็น

หาอะไรอร่อยๆกินก่อน

แล้วตระเวนราตรี ชูมือขวาต่อ

ratioscripta said...

ตอนนี้พี่แม่งเต็มที่ก็ประมาณ 6 เหมือนกันว่ะ

กินเข้าไปได้ไงวะ 13

เรื่องกินนี่หลายเรื่องอยู่ สมัยนั้นพวกปิ้งย่างนี่ต้องไดโดมอน บุฟเฟ่ต์ จ่ายตังค์แล้วไปนั่งยัดกัน ไปกันหลายๆคนนี่มีเดินเวียน

ใครอิ่มก็เนียนออกไปเดิน ไอ้พวกข้างนอกก็มานั่งสวม เลวจริงๆ

จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยนั่งกินมาราธอน จนร้านมันจะปิดแล้ว บริกรมันบอกว่า "น้องๆ น้องเข้าไปหยิบกันเองเลย ครัวอยู่ทางโน้น อยากหยิบไรหยิบเลย"

ก็แม่งเล่นกินกันจนไม่รู้แก๊สหมดหรือเสียไปเลย

จำได้ว่า หลังจากนั้นไปอีกที มันติดป้ายหน้าร้านห้ามพวกกูเข้าซะงั้น

สาขาสยามเลย แม่ง

พลังหนุ่มจริงๆ

sweetnefertari said...

ถูกต้อง!!

สำหรับนักช็อบแล้ว ถูกกว่าบาทเดียวก็ถือเป็นความภูมิใจแล้วค่ะ

นี่...ลองเปรียบเทียบระหว่างคนที่กินมากสุด กะคนที่กินน้อยสุดสิค่ะ ไม่น้อยนะนั่น

ภูมิใจแทนเพื่อนเธอจิงๆ

crazycloud said...

เคยกินมากสุด 11 ยอมแพ้เลยวะ แต่ไม่ใช่ในยามสงครามนะ ถ้าต้องออกสงครามก็ไม่แน่

Anonymous said...

แวะมาเยี่ยมเยียนครับน้อง คงจะสบายดีนะครับ