Tuesday, November 22, 2005

แปรรูปรัฐวิสาหกิจ

การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นเทคนิคทางกฎหมายที่สำหรับผมแล้ว ถือเป็นเรื่องยากเลยทีเดียวที่จะอธิบายให้บุคคลอื่นที่ไม่ได้เรียนกฎหมายมาจะเข้าใจถึงสภาพที่แท้จริงที่เกิดขึ้น ดังนั้นหากผมเอาเทคนิคทางกฎหมายมาว่ากันล้วนๆ ก็จะขัดกับวัตถุประสงค์ของบล็อกของผมที่ต้องการแบ่งปันความรู้ ความคิดเห็นให้กับบุคคลต่างสาขาวิชา ต่างความคิดเห็น ได้ร่วมกันเสนอความคิดเห็นต่อกันได้อย่างอิสระ แต่เหตุด้วยความอ่อนด้อยทางปัญญาของผม ผมได้เรียบเรียงเรื่องราวทางกฎหมายในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้อ่านง่ายที่สุด จึงทำให้อาจเสียความสมบูรณ์บางประการไป ดังนั้นจึงต้องรบกวนทุกคนที่เข้ามาอ่านช่วยกรุณาคอมเม้นท์ ข้อผิดพลาด หรือข้อคิดเห็นที่ท่านอาจไม่เห็นด้วยกับผม เพื่อผมจะได้ปรับปรุงแก้ไขและก่อเกิดประโยชน์ทางปัญญามากที่สุด ขอบคุณครับ

-1-
ความทั่วไป

รัฐวิสาหกิจในประเทศไทยแบ่งได้เป็นสองกลุ่มใหญ่คือนิติบุคคลมหาชนกลุ่มนึง และนิติบุคคลเอกชนกลุ่มนึง
กลุ่มที่เป็นนิติบุคคลมหาชนจะเป็นพวกที่จัดตั้งโดยกฎหมายเช่น พระราชบัญญัติธนาคารออมสิน หรือพระราชกฤษฎีกาองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ เป็นต้น กลุ่มนี้โดยหลักแล้วจะมีอำนาจรัฐและสิทธิพิเศษจากรัฐต่างๆอยู่ในมือไม่มากก็น้อย เช่นอำนาจในการปักเสาไฟฟ้าในที่ดินเอกชน อำนาจพาดสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของเอกชน อำนาจในการตัดต้นไม้ของเอกชนที่โตมาระเกะระกะสายไฟฟ้า หรือสิทธิในการใช้ทรัพย์สินของราชพัสดุ

ส่วนกลุ่มที่เป็นนิติบุคคลเอกชน พวกนี้จะจดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ หรือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเหมือนบริษัทเอกชนทั่วไป มีทุนจดทะเบียน มีหุ้น มีทรัพย์สินเป็นของตัวเอง เช่น บมจ.ธนาคารกรุงไทย บมจ.การบินไทย พวกนี้โดยหลักแล้วจะไม่มีอำนาจมหาชนในกับบังคับเอากับเอกชนทั่วไปเหมือนกลุ่มแรก และการดำเนินงาน จะเป็นเหมือนบริษัทเอกชน
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจความหมายที่ใช้กันปัจจุบันคือการขายหุ้นรัฐวิสาหกิจที่รัฐถืออยู่ให้แก่เอกชนจนรัฐถือหุ้นน้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ (ดังนั้นการขายหุ้นในรัฐวิสาหกิจในปัจจุบันจึงยังไม่ใช่การแปรรูปตามนัยทางกฎหมาย) แต่เพื่อความสะดวก ผมขอเรียกกระบวนการขายหุ้นรัฐวิสาหกิจที่เกิดขึ้นตอนนี้ว่า “การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ”

ปัญหาประการแรกสุดคือรัฐวิสาหกิจกลุ่มแรกไม่มีทุนจดทะเบียน ไม่มีหุ้น ดังนั้นในการขายจึงไม่สามารถขายได้ทันทีเหมือนรัฐวิสาหกิจในกลุ่มที่สอง ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นที่มาของ พรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจ ที่เป็นเครื่องมือทางกฎหมายในการนำเอารัฐวิสาหกิจที่เป็นนิติบุคคลมหาชนมาเข้ากระบวนการแปลงสภาพให้กลายเป็นรัฐวิสาหกิจที่เป็นนิติบุคคลเอกชนเสียก่อนจึงจะสามารถขายหุ้นให้เอกชนได้
แต่ไปๆมาๆ กลับมีการใช้พรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจไปแปรรูปรัฐวิสาหกิจทั้งกระบวนการ จึงทำผลเป็นอย่างที่เห็นทุกวันนี้


-2-
มูลเหตุของการแปรรูป

ตามกฎธรรมชาติทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีที่มาที่ไป ต้องมีเหตุเกิดขึ้นก่อนแล้วจึงมีผลตามมา การแปรรูปรัฐวิสาหกิจก็เช่นกัน เหตุของการแปรรูปผมสรุปออกมาได้ดังนี้

ประการแรก ความล้มเหลวในการดำเนินงานภายในของรัฐวิสาหกิจที่เป็นนิติบุคคลมหาชน ไม่ว่าจะเป็นการยึดติดกับ กฎ ระเบียบทางราชการ ทั้งๆที่ความจริงแล้วองค์การของรัฐที่เป็นรัฐวิสาหกิจก่อตั้งขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงกฎ ระเบียบอันหยุมหยิมของราชการ เพื่อให้มีความคล่องตัวเหมือนการดำเนินงานของเอกชน แต่เอาเข้าจริงๆกลับไม่เป็นเช่นนั้น รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งถูกควบคุมโดยหน่วยงานของรัฐต่างกัน มากกว่า 2 แห่งขึ้นไป ซึ่งแต่ละหน่วยงานก็มีกฎ ระเบียบเป็นของตนเอง เช่นกระทรวงการคลัง กระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจ สำนักงบประมาณ ฯลฯ จะทำอะไรแต่ละทีก็ต้องเปิดดูระเบียบก่อนถึงจะทำได้

ประการที่สอง ความไม่คล่องตัวในการทำธุรกิจ ยกตัวอย่างธนาคารออมสิน เป็นรัฐวิสาหกิจในกลุ่มแรก จัดตั้งโดย พรบ.ธนาคารออมสิน อยากจะทำธุรกิจประกันชีวิต แต่ทำไม่ได้ เนื่องจาก พรบ.ออมสินไม่ได้ให้มีอำนาจทำธุรกิจประกันชีวิต แต่ถ้าจะทำต้องไปแก้กฎหมาย โดยทำเป็นพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ต้องผ่านสภาอีกประมาณ 2-3 ปี กว่าจะได้ฤกษ์ แต่ในขณะเดียวกัน ธนาคารกรุงไทย เป็นรัฐวิสาหกิจในกลุ่มที่สอง จะทำธุรกิจประกันชีวิต ทำได้เลยครับ ไม่ต้องแก้กฎหมายด้วย อย่างมากก็แก้หนังสือรับรองบริษัท โดยไปจดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ ไม่เกิน 2 เดือนก็เสร็จ ดังที่เห็นธนาคารกรุงไทยจับมือกับกลุ่มบริษัทแอ็กซ่าจากฝรั่งเศส ทำธุรกิจประกันในนาม “กรุงไทยแอ็กซ่า”

ประการที่สาม การขาดทุนของรัฐวิสาหกิจ ทำให้รัฐต้องใช้เงินงบประมาณแผ่นดินเข้าไปอุ้มรัฐวิสาหกิจเหล่านั้น ปีๆนึงเป็นจำนวนไม่น้อย โดยจำนวนเงินดังกล่าวยังไม่นับรวมหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่รัฐเข้าไปค้ำประกันให้ ถ้ารัฐวิสาหกิจไม่มีเงินจ่ายรัฐก็ต้องจ่ายแทน

ประการที่สี่ กระแสทุนนิยมเสรีที่ประเทศไทยไม่อาจต้านทานไว้ได้ ยังไงๆซักวันนึงก็ต้องเปิดเสรีให้ต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจแข่งขันกับรัฐวิสาหกิจ และหากให้รัฐวิสาหกิจที่ดำเนินงานอยู่ในปัจจุบันนี้ ดำเนินธุรกิจแข่งขันกับบริษัทเอกชน หรือบริษัทต่างชาติแล้วไซร้ คงไม่ต้องบอกว่านะครับว่าผลจะเป็นอย่างไร

ประการที่ห้า หลักการเสรีนิยมบอกว่า การแข่งขันจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพ ดังนั้นหากแปรรูปออกไปเพื่อให้เอกชนเข้ามาแข่งขันได้ จะทำให้รัฐวิสาหกิจทั้งหลายเกิดการตื่นตัว ต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของตน ผลที่ตามมาคือประชาชนได้รับการบริการที่มีคุณภาพ และประสิทธิภาพมากขึ้น

ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นมูลเหตุหลักในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ยังไม่รวมมูลเหตุรอง เช่นข้อผูกพันที่ไทยเราทำไว้กับองค์การโลกบาล เช่น IMF หรือแปรรูปเพื่อนำเงินที่ได้ไปลงทุนทำอย่างอื่น หรือเพิ่มมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้น
ดังนั้นถ้าจะเหมารวมว่าการแปรรูปคือความชั่วร้าย คือการขายชาติไปซะทั้งหมดมันคงไม่ใช่ ที่มันจะชั่วร้าย ที่มันจะขายชาติอยู่ที่กระบวนการแปรรูปไม่ใช่แนวคิดการแปรรูป

-3-
กระบวนการแปรรูปที่ควรจะเป็น

ขั้นตอนแรกสุด การเลือกทางเดินของรัฐวิสาหกิจว่าเลือกว่ากิจการใดที่รัฐควรจะทำต่อไป ถ้าจะทำต่อจะทำในรูปแบบใด จะเป็นรัฐวิสาหกิจกลุ่มแรกหรือกลุ่มที่สอง กิจการใดรัฐควรจะขายทิ้งไปเลย ไม่ควรอุ้มอีกต่อไปแล้ว
เช่น กิจการสาธารณูปโภค ไฟฟ้า ประปา รัฐควรดำเนินการต่อไป แต่หากให้เป็นรัฐวิสาหกิจกลุ่มแรกอาจมีปัญหาด้านการดำเนินงานจึงควรแปรสภาพให้เป็นรัฐวิสาหกิจในกลุ่มที่สองเสียก่อนน่าจะเหมาะสม แต่รัฐจะต้องมีอำนาจในการควบคุมการดำเนินงาน ควบคุมราคาได้ ซึ่งการเลือกเส้นทางเดินควรจะเป็นอำนาจของรัฐสภาซึ่งถือเป็นผู้แทนของประชาชนในการตัดสินใจ

ขั้นตอนที่สอง เมื่อเลือกกิจการที่จะแปรรูปได้แล้ว ก็ต้องเข้ากระบวนการแยกส่วนรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะต้องแยกเอาลักษณะพิเศษ 3 ประการออกมา

ลักษณะพิเศษประการแรก ดังที่ผมได้กล่าวไว้ตอนต้น ว่ารัฐวิสาหกิจที่อยู่ในกลุ่มแรก ที่เป็นนิติบุคคลมหาชนมีอำนาจรัฐที่จะบังคับเอากับเอกชนได้ หากแปรสภาพเป็นนิติบุคคลเอกชนแล้วจะต้องไม่มีอำนาจมหาชนหลงเหลืออยู่ในกิจการที่แปรสภาพออกมา เช่น การไฟฟ้า มีอำนาจปักเสา พาดสายไฟฟ้าผ่านที่ดินเอกชน หรืออำนาจในการเวนคืนที่ดินเป็นต้น

ลักษณะพิเศษประการที่สอง รัฐวิสาหกิจที่อยู่ในกลุ่มแรกบางแห่ง มีลักษณะผูกขาดตามธรรมชาติ ซึ่งหมายถึงการผูกขาดที่เกิดจากสภาพของรัฐวิสาหกิจ เช่นในกิจการไฟฟ้า เอกชนก็สามารถผลิตไฟฟ้าแข่งกับการไฟฟ้าได้ แต่การจะนำไฟฟ้าที่ผลิตได้ไปส่งให้ถึงประชาชน ต้องอาศัยเสาไฟฟ้าของการไฟฟ้าเท่านั้น เพราะหากจะตั้งเสาไฟฟ้าขึ้นใหม่ต้องใช้เงินลงทุนที่สูงมากยังงัยๆก็ไม่คุ้ม หรือแม้หากมีเงิน มากมายล้นฟ้าก็ตั้งเสาไฟฟ้าไม่ได้เพราะไม่มีอำนาจในการตั้งเสาไฟฟ้า หรือพาดสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของเอกชนอื่น จึงทำให้การไฟฟ้าเป็นผู้ผูกขาดการผลิตไฟฟ้าไปโดยปริยาย ซึ่งหากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นการแปรสภาพออกไปคงไม่เกิดประโยชน์อันใด เพราะไม่เกิดการแข่งขัน

ลักษณะพิเศษประการที่สาม ทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจ รัฐวิสาหกิจใช้ประโยชน์จากที่ราชพัสดุของรัฐ หรือใช้ที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดินอยู่ หากจะแปรสภาพออกไปต้องให้แบ่งให้ชัดเจนว่าส่วนไหนเป็นของรัฐวิสาหกิจ ส่วนไหนเป็นของแผ่นดิน ยกตัวอย่างการไฟฟ้าอีกนั่นแหละครับ การไฟฟ้าใช้เขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้า แต่เขื่อนต้องเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินเท่านั้น เพราะเขื่อนไม่ได้ทำหน้าที่ผลิตประแสไฟฟ้าอย่างเดียวเท่านั้นยังทำหน้าที่เก็บกักน้ำไว้ใช้หน้าแล้งอีก

ขั้นตอนที่สาม หากมีคำถามว่าเมื่อแยกลักษณะพิเศษของรัฐวิสาหกิจกิจแล้ว จะเอาไปไว้ที่ไหน จึงมีการเอาไปฝากไว้กับองค์การของรัฐที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อรับผิดชอบเรื่องดังกล่าวโดยเฉพาะ ที่เรียกว่าองค์กรกำกับดูแลอิสระรายสาขา ซึ่งองค์กรพวกนี้นอกจากจะทำหน้าที่ถืออำนาจรัฐ ถือทรัพย์สินของรัฐ (เพื่อเอกชนรายใดต้องการใช้อำนาจดังกล่าวก็ต้องมาขออนุญาตกับองค์กรนี้) ยังทำหน้าที่กำกับดูแลการแข่งขันให้เกิดความเป็นธรรมทั้งต่อบริษัทที่ประกอบกิจการด้วยกัน และกับรัฐวิสาหกิจที่แปรรูปไปด้วย และให้เป็นธรรมกับประชาชนด้วย รวมไปถึงสามารถควบคุมราคาได้ด้วย

ขั้นตอนที่สี่ ตีราคารัฐวิสาหกิจ โดยดูมูลค่าทรัพย์สิน ผลประกอบการ กิจการที่ทำ แนวโน้มของผลประกอบการ และอื่นๆ ซึ่งผมไม่ทราบว่าเค้าคิดกันยังงัย แต่เรื่องนี้มีผลกับส่วนได้เสียของผลประโยชน์ประเทศชาติ เช่น สมมุติตีราคาหุ้นการไฟฟ้า หุ้นละ 32 บาท แต่พอขายจริงราคากลับถีบไปถึง 100-200 บาท ซึ่งหากความแตกต่างของราคาดังกล่าว เป็นจำนวนหลักหน่วยคงพอยอมรับกันได้ แต่หากราคาต่างกันมากดังที่ยกตัวอย่างรัฐเสียประโยชน์เต็มนะครับ หากจะยังพอจำกันได้กับหุ้น ปตท. ที่ราคาเสนอขายกับราคาที่ซื้อขายจริงต่างกันลิบลับ ดังนั้นการตีราคาหุ้นจึงเป็นขั้นตอนสำคัญอีกขั้นตอนนึง เคยมีผู้เสนอว่า ควรจ้างบริษัทเอกชน 5 บริษัท วัตถุประสงค์เพื่อไม่ให้บริษัทใดบริษัทเดียวกุมอำนาจตีราคา ซึ่งอาจเกิดการบิดเบือนราคาได้ โดยตัดราคาที่สูงสุด กับต่ำสุดออกไป แล้วพิจารณาราคาที่เหลืออยู่จะได้ราคาที่น่าจะเหมาะสมที่สุด

ขั้นตอนที่ห้า กำหนดให้หุ้นที่รัฐถือเป็นหุ้นพิเศษที่เรียกว่าหุ้นทอง(Golden share) หุ้นทองนี้เป็นหุ้นที่ใครถือคนนั้นมีอำนาจบริหารในกิจการ หรืออย่างน้อยที่สุดต้องมีอำนาจยับยั้งการบริหารที่ก่อให้เกิดผลกระทบในทางลบต่อประชาชน ที่เรียกว่าอำนาจ veto โดยหุ้นทองดังกล่าวรัฐไม่สามารถจำหน่ายจ่ายโอนได้ ดังนั้นแม้ว่าใครจะถือหุ้นมากเท่าไหร่ แต่ถ้ารัฐถือหุ้นทองซะอย่างก็ยังมีอำนาจในการบริหารกิจการได้ 555

หากทำได้ตามขั้นตอนที่ผมว่ามาเราจะได้รัฐวิสาหกิจที่เป็นนิติบุคคลเอกชนเหมือนบริษัทเอกชน ที่รัฐสามารถควบคุมการบริหารงานได้ มีประสิทธิภาพในการแข่งขันกับเอกชนอื่น และจะมีองค์กรกำกับดูแลรายสาขาทำหน้าที่ควบคุมการแข่งขัน รวมถึงควบคุมราคาให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด

-4-
แสงสว่างอันริบหรี่จากศาลปกครอง

หากพิจารณาดูกระบวนการที่ผมได้กล่าวไว้ข้างต้น เทียบกับการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตในขณะนี้ จะเห็นได้ว่าการแปรรูปการไฟฟ้าไม่เป็นไปตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น โดยกระบวนการที่ผมยกมาจากผลงานวิจัย ผลงานทางวิชาการของนักวิชาการทั้งหลาย ที่รัฐนั่นแหละเป็นคนจ้างให้นักวิชาการไปทำวิจัย โดยใช้งบประมาณแผ่นดินเป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลยทีเดียว แต่วิจัยเสร็จกลับเก็บขึ้นหิ้งซะงั้น ไม่รู้จะจ้างวิจัยทำไมให้เปลืองภาษีประชาชน

ซึ่งบทสรุปของผลงานวิจัยดังกล่าว เสนอให้ยกเลิก พรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจ แล้วตรากฎหมายแปรรูปรัฐวิสาหกิจใหม่เนื่องจาก พรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจเป็นเพียงเครื่องมือทางกฎหมายที่ใช้เพื่อแปรสภาพจากรัฐวิสาหกิจที่เป็นนิติบุคคลมหาชน เป็นนิติบุคคลเอกชน เท่านั้น ไม่ครบกระบวนการทั้งหมดของการแปรรูปที่แท้จริง และมีจุดอ่อน ช่องว่างมากมายที่สามารถให้กลุ่มทุนทั้งชาติเดียวกัน และต่างชาติเข้ามาแบ่งเค้กรัฐวิสาหกิจกินกันอย่างเอร็ดอร่อย โดยที่เจ้าของเค้กอย่างเราๆท่านๆ ได้แต่ยืนมองกันตาปริบๆ

ดังนั้น การคัดค้านการแปรรูปที่ควรจะเป็นคือการให้ยกเลิก พรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจ โดยอาจจะเข้าชื่อ ห้าหมื่นรายชื่อ เสนอร่างกฎหมายแปรรูปรัฐวิสาหกิจเข้าสภา หรือหากไม่ต้องการให้แปรรูปรัฐวิสาหกิจใดๆเลย ก็เข้าชื่อเสนอ พรบ.ยกเลิกพรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจก็ได้ การคัดค้านการแปรรูปโดยการยื่นฟ้องศาลปกครองให้ยกเลิกกฎหมาย 2 ฉบับ มีผลเพียงการชะลอการขายหุ้นการไฟฟ้าเท่านั้น ไม่ใช่ยกเลิกการแปรรูปไปเลย

การยื่นฟ้องศาลปกครองให้ยกเลิกกฎหมาย 2 ฉบับ คือ พรฎ.กำหนดสิทธิ และหน้าที่ของ บมจ.การไฟฟ้า กับพรฎ.เงื่อนเวลายกเลิก พรบ.การไฟฟ้า แม้โอกาสในการชนะคดีจะมืดมน แต่ ด้วยความเคารพต่อศาลปกครอง ตามความเห็นส่วนตัวของผมก็ไม่ใช่ว่าจะปิดประตูแพ้เสียทีเดียว ยังมีแสงสว่างริบหรี่ๆให้พอมองเห็นทางบ้าง

พรฎ.กำหนดสิทธิ และหน้าที่ของ บมจ.การไฟฟ้า ผมยังไม่ได้อ่านตัวเต็มของกฎหมายตัวนี้ แต่อนุมานว่าคงจะเหมือนกับตอนแปรรูปองค์การโทรศัพท์ เนื้อหาคงเป็นให้ บมจ.การไฟฟ้ามีอำนาจปักเสาพาดสายไฟฟ้าผ่านที่ดินบุคคลอื่น หรือมีอำนาจตัดต้นไม้ของเอกชนที่โตระเกะระกะสายไฟฟ้า ซึ่งอาศัยอำนาจตาม พรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจ มาตรา 26 ออกกฎหมายฉบับนี้มา ดูเผินอาจจะไม่เห็นประเด็นเพราะทำถูกต้องตาม พรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจ ดังกล่าว

แต่ ประมาณปลายปี 2546 ศาลปกครองสูงสุดเคยมีคำสั่งยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่ให้หน่วยงานราชการ ใช้บริการโทรศัพท์จาก บมจ.ทศท. คอร์ปอร์เรชั่น(องค์การโทรศัพท์หลังแปรรูป) ก่อน หาก ทศท.ให้บริการไม่ได้ค่อยพิจารณาบริษัทอื่น คำสั่งศาลปกครองฉบับนี้มีนัยยะสำคัญว่า การที่รัฐให้สิทธิพิเศษแก่ บมจ.ทศท. ซึ่งนิติบุคคลเอกชน มากกว่า นิติบุคคลเอกชนอื่นเป็นการกระทำที่ขัดกับหลักความเสมอภาค ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งหากเทียบในกรณีของ พรฎ.กำหนดสิทธิ และหน้าที่ของ บมจ.การไฟฟ้า ก็น่าจะเป็นการให้สิทธิพิเศษกับนิติบุคคลเอกชนเช่นกัน ก็น่าจะขัดกับหลักความเสมอภาคดุจเดียวกัน

พรฎ.ยกเลิก พรบ.การไฟฟ้า กฎหมายตัวนี้จริงๆ แล้วขัดกับหลักกฎหมายเรื่องลำดับศักดิ์ของกฎหมายอย่างชัดเจน ที่ให้กฎหมายลำดับต่ำกว่าคือพระราชกฤษฎีกา ไปยกเลิกกฎหมายที่ลำดับสูงกว่าคือพระราชบัญญัติ แต่ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยตัดสินไว้แล้วว่า กรณีไม่ขัดกับลำดับศักดิ์ของกฎหมาย เพราะกฎหมายที่ยกเลิก พรบ.จริงๆแล้วคือพรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พรฎ.เป็นเพียงกำหนดเงื่อนเวลาเท่านั้น เช่นกันครับมองเผินๆ อาจจะดูว่ากรณีนี้ปิดประตูชนะอีกกรณีนึง เพราะประเด็นนี้ศาลรัฐธรรมนูญเคยตัดสินมาแล้ว และคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร

แต่เดี๋ยวก่อนครับท่านผู้อ่าน ผมมีข้อสังเกตดังนี้

ประการแรก แม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะเคยตัดสินในกรณีดังกล่าวมาแล้ว แต่ก็เป็นเพียงการตัดสินในประเด็นที่ว่า พรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจขัดรัฐธรรมนูญครับ ไม่ใช่เรื่องพรฎ.ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะลำดับศักดิ์ของกฎหมาย

ประการที่สอง คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กรก็แต่เรื่องหรือประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้เท่านั้น คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่บ่อเกิดแห่งกฎหมาย หรือไม่ใช่ตัวบทกฎหมายที่ศาลปกครองจะต้องหยิบยกขึ้นมาใช้ในการตัดสินคดี ดังนั้หากศาลปกครองจะยกหลักกฎหมายเรื่องลำดับศักดิ์ของกฎหมายมายกเลิก พรฎ.ตัวนี้ก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด

ประการที่สาม อันนี้ขาดเหตุผลทางกฎหมายอย่างสิ้นเชิงครับ แต่ศาลปกครองกับศาลรัฐธรรมนูญเคยตัดสินขัดแย้งกัน(ผมเรียกว่างัดข้อกัน) ในเรื่องอำนาจศาลในการควบคุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง แสดงให้เห็นว่าไม่จำเป็นที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินแล้วศาลปกครองจะเห็นด้วยไปซะหมดนะครับ

ดังนั้นหากฝ่ายคัดค้านชนะคดี ผมว่าน่าจะเป็นการจุดประกายไฟการทบทวนการแปรรูปรัฐวิสหากิจ ให้เป็นไปตามครรลองที่ควรจะเป็น เพราะการแปรรูปตาม พรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจ จะต้องมีการออกกฎหมาย 2 ฉบับนี้เสมอ รัฐจะต้องออกกฎหมายแปรรูปรัฐวิสาหกิจใหม่อย่างเลี่ยงไม่ได้ ผมก็ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น


Wednesday, November 09, 2005

ขายบุหรี่

เมื่อเช้านี้ระหว่างกำลังแต่งองค์ทรงเครื่องจะออกไปทำงาน แว่วเสียงคุณสรยุทธ แห่งเรื่องเล่าเช้านี้ กำลังสัมภาษณ์บุคคลในข่าวเรื่องการห้ามวางจำหน่ายบุหรี่ในที่ด้านหลังเคาน์เตอร์ของร้านสะดวกซื้อทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นอธิบดีกรมควบคุมโรค นายกสมาคมผู้ค้ายาสูบ และ CEO คนเก่งแห่ง 7-eleven แล้วบังเกิดความสนอกสนใจเพราะเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวผมเป็นอย่างยิ่ง จึงนำมาเล่าข่าวคืนนี้กัน

เท้าถึงความหนหลังฟังได้ว่า กรมควบคุมโรคเกิดอยากจะบังคับใช้กฎหมายห้ามโฆษณาบุหรี่ ตามมาตรา 8 แห่ง พรบ. ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2535 (เอาตอนพุทธศักราช 2548 ซึ่งล่วงเลยเวลามาถึง 13 ปีนับจากวันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ)

มาตรา 8 ดังกล่าว ท่านว่า ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาผลิตภัณฑ์ยาสูบหรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของ
ผลิตภัณฑ์ยาสูบในสิ่งพิมพ์ ทางวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์หรือสิ่งอื่นใดที่ใช้เป็นการโฆษณาได้ หรือใช้ชื่อหรือเครื่องหมายของผลิตภัณฑ์ยาสูบในการแสดง การแข่งขัน การให้บริการหรือการประกอบกิจกรรมอื่นใดที่มีวัตถุประสงค์ให้สาธารณชนเข้าใจว่าเป็นชื่อ หรือเครื่องหมายของผลิตภัณฑ์ยาสูบ

แปลไทยเป็นไทยง่ายๆจะได้ความว่า “ห้ามโฆษณาบุหรี่” ซึ่งหากพิจารณาดูกันจริงๆ จะพบว่าไม่มีตอนใดของกฎหมายที่จะให้ตีความรวมไปถึงการวางขายบุหรี่ธรรมดาๆ แต่ที่นี่ประเทศไทย จ้าวแห่งการตีความ จึงได้นำคำนิยามของกฎหมายคือคำว่า “โฆษณา” ซึ่งหมายความว่า การกระทำไม่ว่าโดยวิธีใด ๆ ให้ประชาชนเห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเพื่อประโยชน์ในทางการค้า มาประกอบกัน รวมแล้วเลยได้ความว่า การที่ร้านสะดวกซื้อวางขายบุหรี่นั้นถือเป็นการโฆษณา มีความผิด มีโทษปรับครับ

และด้วยความรอบคอบของฝ่ายราชการ กรมควบคุมโรคจึงส่งให้ฝ่ายกฎหมายของแผ่นดิน หรือคณะกรรมการกฤษฎีกา ช่วยตีความ ทางฝ่ายกฎหมายก็เกรงว่าฝ่ายที่ส่งเรื่องมาจะเสียน้ำใจจึงตีความให้ว่า การจะถือว่าการวางขายบุหรี่เป็นการโฆษณาหรือไม่นั้นต้องพิจารณาเป็นกรณีๆไป และได้ยกตัวอย่างว่าการจะถือว่าเป็นการโฆษณาอันจะเป็นความผิด ก็เช่น วางซองบุหรี่เรียงติดๆกันให้สะดุดตาประชาชนที่เข้ามาซื้อของ หรือมีการซื้อพื้นที่ในการวางจำหน่ายของบริษัทบุหรี่ทั้งหลาย

ทั้งนี้ทั้งนั้นฝ่ายรัฐให้เหตุผลของการกระทำดังกล่าวว่าเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเกิดติดในตราหรือแบรนด์ของบุหรี่ อันอาจส่งผลให้เด็กมีแนวโน้มที่จะสูบบุหรี่ในอนาคต และเพื่อลดการบริโภคบุหรี่ของประชาชน

ฟังเหตุผลผมรู้สึกทะแม่งทะแม่งยังไงชอบกล หากใช้หลักกฎหมายมหาชนเรื่องหลักความได้สัดส่วน ที่มีหลักเกณฑ์ว่า การกระทำของรัฐที่กระทบสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ต้องได้สัดส่วน ซึ่งไอ้หลักสัดส่วนที่ว่ามันใช้อย่างนี้ครับ คือดูการกระทำของรัฐแล้วตอบคำถาม 3 ข้อนี้ ว่าเป็นไปตามนี้แล้วหรือยัง
1. วิธีการกระทำนั้นต้องเป็นวิธีที่ทำแล้วได้ผลตามวัตถุประสงค์ที่จะทำ
2.ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว
และ 3.ทำแล้วคุ้มค่ากับสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่เสียไป มาวิเคราะห์แล้ว จะเห็นได้ว่ามันไม่ได้สัดส่วนกันเลย แค่ข้อแรกก็ตอบไม่ได้แล้วครับ

ผมตั้งคำถามเองตอบเอง ในฐานะสิงห์อมควันคนนึง ว่า

1.ถ้าเด็กไม่เห็นบุหรี่ในร้านสะดวกซื้อ เด็กจะไม่มีโอกาสได้เห็นเลยหรือว่าซองบุหรี่หรือบุหรี่หน้าตาเป็นยังไง
-ผมตอบเลยว่าเป็นไปไม่ได้ตราบใดที่บุหรี่ยังไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย

2. พวกสิงห์อมควันทั้งหลายไม่เห็นบุหรี่วางโชว์ไว้แล้วเค้าจะไม่สูบบุหรี่เลยหรือ
-ตอบเองอีกว่าไม่ใช่ ถ้าเค้าไม่เห็นเค้าจะถามว่ามีขายไหม ถ้าไม่มีจะไปซื้อร้านอื่นที่มี

3. ถ้าคนที่ไม่เคยคิดจะสูบบุหรี่เห็นซองบุหรี่แล้วจะเกิดความรู้สึกอยากสูบบุหรี่ขึ้นมาทันทีเลยหรือ
- ผมก็ตอบอีกว่า บุหรี่ไม่ใช่ขนมเค้กนะครับ ที่เห็นหน้าตาแล้วอยากกิน และจากประสบการณ์ถามบรรดาผู้ร่วมอุดมการณ์ด้วยกันว่าเริ่มสูบบุหรี่ได้ยังไง ร้อยละ 99.99 จะตอบว่าสูบตามคนอื่น เห็นคนอื่นสูบเลยอยากสูบด้วย ทั้งเห็นจากเพื่อนด้วยกัน จากพ่อหรือญาติใกล้ชิด จากดาราหนัง จากการ์ตูน ไม่มีใครตอบผมว่าเห็นซองมันสวยดีเลยอยากสูบ และขอโทษเถอะครับ ซองบุหรี่สมัยนี้ ผมเห็นแล้วยังไม่อยากสูบเลยครับ นับประสาอะไรกับคนไม่เคยสูบบุหรี่

ผมเลยคิดว่ามันไม่น่าจะใช่วิธีที่ถูกที่ควรสำหรับเหตุผลของฝ่ายรัฐ หากถามผมเองว่าแล้วควรรณรงค์แบบไหนล่ะ ผมตอบเลยว่าผมกลัวพวกตัดกล่องเสียงที่สุดครับ พวกมีรูที่คอ จะพูดทีต้องใช้เครื่องช่วย เอาพวกนั้นมาโฆษณาทุกวันซิครับ ไม่แน่ว่าผมอาจจะเป็นคนแรกที่ยกมือของเลิกบุหรี่

มาดูทางฝั่งร้านสะดวกซื้อกันมั่ง ซึ่งเค้าก็ไม่ยอมซิครับ ใครจะยอมล่ะ ก็เค้าวางขายของเค้ามานมนานกาเล อยู่จะมาบอกว่าเป็นความผิดได้ยังไง ตัวแทนจากฝ่ายร้านสะดวกซื้อให้เหตุผลว่า การวางขายบุหรี่ ก็เหมือนกับวางขายขนมปังนั่นแหละ มีที่ว่างตรงไหนก็วางตรงนั้น ไม่เห็นจะเป็นการโฆษณาตรงไหนแต่ที่ต้องวางไว้หลังเคาน์เตอร์เพื่อให้สะดวกในการควบคุมการขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 อุตสาห์สนอง นโยบายรัฐบาลแล้ว จะมาบอกว่าเค้าโฆษณาไม่ได้ ทาง CEO คนเก่งก็ให้เหตุผลว่า ถ้าไม่วางไว้ให้คนเห็นจะผิดกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคที่กำหนดให้ร้านค้าต้องวางสินค้าที่จะขายให้ประชาชนเห็น

ผมว่าเหตุผลของฝ่ายรัฐฟังไม่ค่อยจะขึ้นแล้วนะ มาฟังอีกฝ่าย นึกภาพออกเลยครับว่าสีข้างแดงแจ็ดแจ๊ ตรงมือมีร่องรอยการบาดเจ็บจากการกระทบกับของแข็ง

ถ้าจะควบคุมการขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี น่ะ วางตรงไหนก็ได้ครับ เพราะสุดท้ายเค้าก็ต้องเอาบุหรี่มาจ่ายเงินอยู่ดี เว้นแต่ว่าเด็กคนนั้นจะขโมยบุหรี่ ซึ่งมางร้านไม่มีทางที่จะให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น

ถ้าบอกว่าไม่มีเจตนาจะโฆษณาแล้วทำไมต้องวางให้สะดุดตาขนาดนั้น สมมุติว่าผมจะเข้าไปซื้อของซักอย่างในร้าน เช่นผมจะซื้อขนมปัง ผมต้องมองหาก่อนว่าของมันวางอยู่แห่งหนตำบลใด แต่บุหรี่นี่ไม่ต้องมองก็เห็นครับ

ส่วนเหตุผลสุดท้ายฟังดูเข้าท่าสุด ถ้าไม่วางบุหรี่ให้คนเห็นจะผิดกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งประเด็นนี้ผมเห็นว่ากม.ควบคุมบุหรี่เป็นกฎหมายเฉพาะ คือเป็นกฎหมายเฉพาะเรื่องเฉพาะราว กรณีนี้คือเรื่องการขายบุหรี่ ส่วนกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคเป็นกฎหมายทั่วไป ตามหลักกฎหมายแล้ว มีกฎหมายเฉพาะต้องใช้กฎหมายเฉพาะก่อนกฎหมายทั่วไปครับ ดังนั้นเหตุผลนี้จึงตกไป

ซึ่งในประเด็นเรื่องเหตุผลนี้เมื่อเช้าคุณสรยุทธถามโดนใจผมมากเลย แกถามว่า คุณ(ร้านค้า)ไม่กลัวเสียภาพลักษณ์หรือ เพราะกระแสมันแรงพอที่จะปลุกปั่นให้เกิดการต่อต้านร้าน 7-อีเลฟเว่น คุณก่อศักดิ์ CEO คนเก่ง ตอบว่าไม่กลัวเพราะไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย ซึ่งผมเห็นว่าขัดกับหลักคนทำธุรกิจเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะตราสินค้าหรือแบรนด์นี่ผมว่าน่าจะมีความสำคัญมาก จนบางทีไม่อาจประเมินค่าได้ การสวนกระแส ทั้งที่ถ้าตามกระแสก็ไม่น่าจะเกิดความเสียหายแต่ประการใด แต่เค้าไม่ทำ ทำให้เกิดข้อสงสัยได้ว่ามีอะไรเบื้องหลังหรือเปล่า เช่นมีการให้ผลประโยชน์จากบริษัทบุหรี่หรือเปล่าที่ให้วางขายตรงจุดนี้ เพราะว่าผมว่าการวางขายให้เห็นหรือไม่เห็นก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบถึงยอดขายตามเหตุผลของสิงห์อมควันที่ผมให้ไว้ข้างต้น

อ่านมาถึงตรงนี้อย่าเพิ่งงงกับตัวผมว่าผมจะเอายังไงกันแน่ เดี๋ยวด่ารัฐ เดี๋ยวด่าเอกชน จุดยืนผมง่ายๆว่า กรณีนี้ผมเห็นว่ารัฐทำไม่ถูกตามหลักกฎหมายที่ควรจะเป็น และไม่ส่งผลที่จะตอบสนองความต้องการของรัฐได้ เพราะสุดท้ายคนก็สูบบุหรี่เหมือนเดิม เด็กก็อยากลองสูบเหมือนเดิม แต่การกระทำของรัฐดังกล่าวได้ก่อให้เกิดผลข้างเคียง คือกระแสการต่อต้านการสูบบุหรี่อย่างกลายๆ ซึ่งผมก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่ดี เห็นควรให้ทำต่อไป ส่วนทางฝั่งร้านสะดวกซื้อทั้งหลาย ผมไม่เห็นว่าการที่ไม่โชว์บุหรี่ แต่ขึ้นป้ายว่ามีขายบุหรี่จะทำให้ยอดขายบุหรี่ลดลงแต่อย่างใด ถ้าท่านทำสังคมจะสรรเสริญท่าน แต่ถ้าท่านยังยืนกรานไม่ทำ ผมว่าผลเสียจะตกอยู่กับท่านนะกรับ คิดดีๆ กรับ

Sunday, November 06, 2005

ขาลง?

















พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร VS เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คุณว่าใครจะขึ้นก่อนกัน?

"ขาลง" ตามพจนานุกรมฉบับนายธนุสแปลว่า "คราวตกต่ำ" หากจะสังเกตว่าบุคคลใดอยู่ในช่วงขาลง ต้องพิจารณาถึงสององค์ประกอบ องค์ประกอบแรก องค์ประกอบของการกระทำ กล่าวคือบุคคลคนนั้นทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ ทำอะไรแล้วตั้งใจจะให้เกิดผลอย่างนึงกลับไปเกิดผลอีกอย่างนึง อาทิเช่นตั้งใจหาเสียงกับประชาชน ก็ได้เสียงจากประชาชนมาจริงๆ แต่เป็นเสียงบริภาษทั่วสารทิศมาแทน ฯลฯ แต่หากเป็นช่วงขาขึ้น ไม่ว่าจะตั้งใจหรือฟลุค ทำอะไรก็ดูดีไปหมด

องค์ประกอบที่สอง การตอบรับของการกระทำ กล่าวคือ ในสายตาของคนนอก บุคคลคนนั้นทำอะไรก็ผิดไปหมด ไม่ว่าจะก้าวตีนซ้าย คนภายนอกก็จะด่าว่าทำไมไม่ก้าวตีนขวา แต่หากเป็นช่วงขาขึ้น ขนาดขี้ก็ยังว่าหอม

แต่อย่าลืมนะครับว่ามีขาลงก็ต้องมีขาขึ้น ว่าแต่ว่าใครจะขึ้นก่อนกันล่ะกรับ