Thursday, September 29, 2005

ภาษาไทยวันละคำ

ภาษาไทยวันละคำ วันนี้เสนอคำว่า “คิดได้ไงวะ”

คำว่า “คิดได้ไงวะ” เป็นภาษาพูดของคำว่า “เขาคิดสิ่งนั้นขึ้นมาได้อย่างไร” ใช้ได้สองความหมาย ความหมายแรกสำหรับความคิดที่ไม่มีใครคิดถึงมาก่อน ในทำนองชื่นชม ทึ่ง ในความสามารถของผู้คิด ความหมายที่สอง ใช้ในความหมายของความคิดที่ไม่เข้าท่า ทุเรศทุรัง ผู้พูดรู้สึกอับอายแทนเจ้าของความคิด มักใช้คู่กับคำว่า “เอาสมองส่วนไหนคิดวะ” ถ้าจะให้ได้อารมณ์แบบฮาร์ดคอร์ ต้องใช้คำนามที่ใช้เรียกสัตว์เลื้อยคลาน 4 ขา ที่ชอบเดินแถวทำเนียบรัฐบาล กับคำนามที่ใช้เรียกบุพการีของบุคคลที่สองประกอบ รวมกันจะได้เป็น “เ...ย แม่.. คิดได้ไงวะ!!”

เมื่อก่อนคำๆนี้มักใช้กับวงการบันเทิง ไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์ หนังสือนิยาย เพลงและมักใช้ในความหมายแรกมากกว่าอย่างหลัง และค่อยๆมีวิวัฒนาการมาใช้กับวงการตลก ในความหมายที่สองมากขึ้น ปัจจุบัน คำนี้ปรากฏมากขึ้นในวงการการเมือง

เรามาดูตัวอย่างของการใช้คำว่า “คิดได้ไงวะ” จากดาราตลกกิตติมาศักดิ์ ทั่นปั๊ตตานา จากคณะเหลี่ยมเชิญยิ้ม

บุคคลทั่นนี้ส่งเสริมชาวนาเลี้ยงกุ้งกุลาดำในที่นาของตนเอง ทั้งๆที่กุ้งกุลาดำเป็นกุ้งทะเล??

แต่ผลงานที่ทำให้โด่งดังเป็นพลุแตก คือวาทะแห่งปีที่สูสีกับวาทะที่ว่า “ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ”
ได้แก่วาทะที่บริภาษนักเรียนอาชีวะที่ตีกันในงานคอนเสิร์ตว่า “พวกสมองควาย”

ต่อมาทั่นก็ได้ผลิตผลงานประเภท “คิดได้ไงวะ” ออกมาอย่างต่อเนื่องราวกลับกลัวว่าทั่นหัวหน้าคณะจะไม่เห็นผลงาน ซึ่งผลงานต่อมา คือการเจรจาการค้าเสรี ทั่นได้เสนอแนวคิดเด็ดอีก ว่า “การค้าเสรีจะนำมาซึ่งการลงทุนจากต่างประเทศ จะทำให้มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เราจำเป็นต้องแยกกันระหว่างผลประโยชน์ของคนกลุ่มน้อยกับคนส่วนใหญ่ เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบไม่สามารถทำมาหากินกับอาชีพเดิมได้ ก็ให้เปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่นเลย!!!(ไป๊)

แนวคิดต่อมาก็สร้างความฮือฮาสะท้านวงการอีกครั้ง กับแนวคิดนำเข้าข้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งๆที่ประเทศไทยผลิตข้าวได้มากอันดับต้นๆของโลก โดยให้เหตุผลว่า เราส่งออกข้าวมาก กลัวข้าวในประเทศจะขาดแคลน!!!


ยังไม่หมดเท่านี้ มีต่อกับวิธีคิดแบบ “คิดได้ไงวะ”


ปัญหาเด็กทารกถูกทิ้งตามถังขยะ จะทิ้งก็อย่าทิ้งเลยถังขยะ มันเหม็น สงสารเด็ก ผิดกฎหมายด้วย มาทิ้งกับทั่นนี่ เดี๋ยวทั่นดูแลให้ มีปัญญาเลี้ยงเมื่อไหร่มาเอาคืนไป ถ้าไม่คิดจะเลี้ยงแล้วยกให้ทั่นไปเลย ทั่นไม่ว่า (ดีไม่มีโปรโมชั่นพิเศษ ทิ้ง 2 คน โทรมือถือฟรี 24 ชั่วโมง

นักเรียนอาชีวะตีกัน อยากตีกันนัก ชอบใช้กำลังกันนักใช่ไหม เอาไปเป็นผู้พิทักษ์สังคม ทำหน้าที่จับขอทาน!!


เด็กซิ่งรถแข่งกันบนถนน เอาอยากซิ่งกันเดี๋ยวปิดถนนให้ซิ่งกันตามใจชอบ อยากได้ถนนเส้นไหนบอกเดี๋ยวจัดให้

วันนี้คงจบแต่เพียงเท่านี้ สวัสดี


***อ๊ะอ๊ะ!!?? อย่าลืมนะครับว่ามันมีสองความหมาย ส่วนจะใช้ในความหมายใดก็เชิญตามอัธยาศัย***

Wednesday, September 21, 2005

แจ้งข่าวโฆษณา

ตอนนี้หายไปนานเนื่องจากติดภารกิจการศึกษา ตอนแรกกะจะเขียนเรื่องอากู๋ซะหน่อย ก็ปรากฏอากู๋ใจไม่สู้ถอนทัพซะก่อน เลยหมดมุข

และตอนนี้ผมกำลังเกลี้ยกล่อม ชักจูง ว่าที่นิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขากฎหมายระหว่างประเทศ ผู้มีข้อมูลวงในทางการเมืองมาเม้าท์ เอ้ย!! มาร่วมขีดๆเขียนๆ กันในชุมชน blogger แห่งนี้ ส่วนลีลาจะดุเด็ดเผ็ดมันขนาดไหนโปรดติดตาม (ถ้าสำเร็จจะแจ้งให้ทราบอีกทีหนึ่ง)

ส่วนตัวผมขอตัวไปทำงานการศึกษาต่อนะคร้าบ

Wednesday, September 07, 2005

สงครามก๋วยเตี๋ยวเรือ

เที่ยงวันของวันเสาร์วันนึงเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว หลังจากที่ผมและผองเพื่อนทั้งหมดนับหัวรวมได้ 13 คน เสร็จสิ้นภารกิจการวิ่งไล่หวดลูกหนัง แถวๆซอยโยธี ใกล้ๆกับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ภายใต้ความเหน็ดเหนื่อยตามประสาคนนานๆออกกำลังกายที พวกผมก็เดินทางออกจากสนามบอลด้วยอาการของคนหิวโหยขนาดกินช้างได้คนละตัว มุ่งหน้าไปยังอนุสาวรีย์ชัยฝั่งถนนพหลโยธินอันเป็นบริเวณที่สิงสถิตของบรรดาร้านขายก๋วยเตี๋ยวเรือทั้งหลาย


ท่ามกลางแสงแดดที่สาดส่องอย่างไม่ปราณีใคร อากาศที่แสนจะร้อนอบอ้าวของตอนเที่ยงวันผสมกับความเหนื่อยล้าหลังเตะบอลมา ทำให้ผมและชาวคณะเลือกร้านก๋วยเตี๋ยวเรือที่อยู่มุมสุดที่ชื่อป๋ายักษ์ เพราะเป็นร้านเดียวในตอนนั้นที่ติดแอร์ประกอบกับโปรโมชั่นสุดพิเศษ กิน 20 ชาม แถมโค้กลิตร 1 ขวด ทำให้ผมคิดในใจ “ป๋ายักษ์เสร็จกูแน่” (แต่เอาเข้าจริง ๆ พวกผมต่างหากที่เสร็จป๋ายักษ์ เพราะโค้กลิตรที่แถมก็กินกันไม่หมด แถมแกคิดค่าแอร์พวกผมด้วยคนละ 3 บาท)



เมื่อก๋วยเตี๋ยวเรือชามแรกมาถึงผมก็ไม่รอช้ารีบจัดการโซ้ยด้วยความหิวโหย ซึ่งหากนับตั้งแต่เที่ยงวันของเมื่อวันวาน ยังไม่อะไรตกถึงท้องผมเลย นอกจากสุรา โซดา น้ำเปล่า และเกเตอร์เรท ในไม่ช้าเสียงพูดคุยในโต๊ะก็เริ่มสงบลง เมื่อทุกคนมีจุดหมายเดียวกันคือจัดการสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้หมดไป ผมกินไปได้ 2 ชาม ก็ได้ยินเสียงใครบางคนพูดออกมาว่า


“เฮ้ย”


ผมเงยหน้ามามองเจ้าของคำอุทาน เห็นมันทำหน้ากึ่งจริงจังกึ่งเล่นๆ พร้อมกับพูดว่า



“หารเท่านะโว้ย”



ทำให้ผมต้องเหลือบไปมองอนุสาวรีย์แห่งความหิวโหยที่กองอยู่ตรงหน้ามัน พร้อมกับนับคร่าวๆ มันมากกว่าของผมเท่านึง สมองผมก็เริ่มคำนวณถึงจุดคุ้มทุนหากรับปากมันไป ในขณะที่ผมกำลังคำนวณศักยภาพในการกินของตัวเองอยู่นั้น เพื่อนของผมอีกคนก็รับหลักการ “หารเท่า” ทันที โดยการทำตัวเป็นโฆษกประกาศให้ทุกคนได้ยินทั่วถึงกัน ทำให้อารมณ์ของการเอาชนะคะคานได้ปะทุขึ้นในใจของผมและของใครอีกหลายคน จริงๆไอ้เรื่องหารเท่าไม่มีใครสนใจเท่าไหร่ แต่เรื่องกินเยอะกินน้อยเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีจะยอมกันไม่ได้ ยิ่งกินเยอะกว่าคนอื่นและหารเท่า ซึ่งก็หมายความว่าเราจ่ายน้อยกว่าคนอื่น เป็นความภาคภูมิใจอย่างนึงของคนกินก๋วยเตี๋ยวเรืออนุสาวรีย์ (ไม่รู้คิดได้ไง)



สงครามก๋วยเตี๋ยวเรือจึงได้อุบัติขึ้น จากเดิมที่แต่ละคนสั่งทีละ 2 ชาม 3 ชาม กลายเป็นสั่งทีละ 5 ชาม (สั่งรวมๆกัน) จากธรรมดาที่เคยกินแค่ 6 ชามอิ่ม ก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ไม่มีใครยอมใคร ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตากินให้ได้เยอะที่สุดเพื่อสร้างความได้เปรียบตอนจ่ายตัง แต่คนที่ยิ้มแก้มปริก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ป๋ายักษ์เจ้าของร้านนี่เอง ที่อยู่ๆดีก็มีคนมาสร้าง demand ให้กับร้าน ทั้งๆที่ร้านของแก หากเปรียบเทียบเรื่องรสชาติจะด้อยกว่าร้านอื่นอย่างเห็นได้ชัด


ท่ามกลางเสียงยกธงขาวยอมแพ้ “กูไม่ไหวแล้วว่ะ” ของสหายสงครามหลายคน หาได้ทำให้ผมท้อแท้ไม่ ผมยังคงกินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง อนุสาวรีย์แห่งความหิวโหยที่ได้เปลี่ยนเป็นอนุสาวรีย์แห่งศักดิ์ศรีการกิน ก็กองสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว จนในที่สุดในสมรภูมิก๋วยเตี๋ยวเรือก็เหลือผู้รอดชีวิตอยู่เพียง 3 นาย คือผม ,เจ้าของวลี “หารเท่า” และทั่นโฆษก นับดูผลงานของแต่ละคน ผมกินได้ที่ 13 ชามเท่ากันกับไอ้เจ้าโฆษก แต่ไอ้ตัวอาชญากรสงครามมันกินได้ 14 ชาม พร้อมกับสีหน้าท่าทางที่บ่งบอกว่า “กูไม่ไหวแล้ว” ผมก็เลยถือโอกาสประกาศสงบศึก และกำลังจะยกตำแหน่งผู้ชนะให้แก่มันไป เพราะหากยังถือศักดิ์ศรีกินมากกินน้อยต่อไป ผมเล็งเห็นผลว่าไม่เป็นชูชกท้องแตกตาย ก็ต้องมีการคายของเก่าทิ้งกันบ้างล่ะ


แต่สงครามครานี้ไม่ยอมจบง่ายๆครับ เมื่อปรากฏ “ตาอยู่ร่างยักษ์” เพื่อนผมที่เดินทางจากปิ่นเกล้ามาอนุสาวรีย์ชัยเพื่อกินก๋วยเตี๋ยวเรือโดยเฉพาะ พอมันมาถึงโฆษกคนเดิมก็ประกาศกติกาอย่างไม่เกรงใจผู้มาทีหลังทันทีว่า “มาก่อน มาหลัง หารเท่าหมด” ชายร่างยักษ์ผู้มาทีหลังบ่นเป็นเชิงน้อยใจว่า “ทำไมไม่โทรมาบอกให้เร็วกว่านี้ กูเพิ่งกินข้าวไป 2 จานนะโว้ย หารเท่าเลยหรือวะ” แต่ไอ้คนที่ประกาศตัวว่าเพิ่งกินข้าวมา 2 จานนี่แหละครับ กลับมาแรงแซงทางโค้ง กินคนเดียวและรวดเดียว 16 ชาม คว้าตำแหน่งแชมป์ไปครองอย่างพลิกความคาดหมาย พร้อมกับประกาศว่า “กูยังกินได้อีกนะเนี่ย แต่เกรงใจพวกมึงต้องมานั่งรอกูกินคนเดียว” โถให้รอน่ะผมรอได้ แต่เห็นมันกินแล้ว ผมและผองเพื่อนผะอืดผะอมครับ อยากอ๊วกต่อหน้ามันให้ได้ซิหน่า ทรมานจริงๆ แทนที่จะกินกันอย่างมีความสุข นั่งคุยกันไปเพลินๆ กินพอดี ๆ ก็น่าจะพอแล้วคิดไปคิดมาก็เพราะไอ้คำว่า “หารเท่า” แท้ๆ เลยเป็นอย่างนี้


ที่มารำลึกความหลัง เพราะวันนี้ผมได้มีโอกาสไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวเรือที่อนุสาวรีย์เมื่อตอนเย็น ความเปลี่ยนแปลงที่สังเกตได้คือ ทุกร้านติดแอร์หมดแล้ว และราคาก็เพิ่มเป็น 7 บาท แต่ภายใต้เงื่อนไขเดิม คือผมยังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น มีแต่ สุรา โซดา น้ำเปล่า และกาแฟเย็น ที่ได้สัมผัสกระเพาะของผมในรอบวันที่ผ่านมา แต่ผมกินแค่ 6 ชามก็อิ่มแล้ว ทำให้ผมนั่งนึกย้อนกลับไปว่า ตอนนั้น “ยัด” เข้าไปได้ไงวะนี่ ตั้ง 13 ชาม!?!?!?

Thursday, September 01, 2005

ไร้สาระกับ Owen และ Newcastle

รูปจาก www.nufcth.com

กลับมาใหม่อีกครั้งตามคำเรียกร้องของตัวเอง ที่หายไปนานเนื่องจากเกิดมรสุมชีวิตที่ office คือมีคนในฝ่ายผมลาออกไปคนนึง และแผนกผมก็ไม่ยอมรับคนใหม่มาทำแทน งานก็เยอะขึ้นเยอะขึ้น วัน ๆ ผมแทบจมกองแฟ้มลูกค้าตายคา office(ไม่รู้ว่าถ้าตายจริงจะมีเงินพิเศษให้หรือปล่าว เพราะตายขณะปฏิบัติหน้าที่) กลับบ้านก็ไม่ต้องทำอะไร นอนอย่างเดียว ไม่มีเวลาเลยจริงๆ ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่รู้ว่าผมจะเรียนจบเมื่อไหร่ ยิ่งเห็นตัวอย่างจากพี่ๆหลายๆคนแล้ว ต้องมาลุ้นกันตอนสัปดาห์สุดท้าย เห็นแล้วเสียวครับ

พูดถึงคำว่า “ไม่มีเวลา” ทำให้ผมหวนนึกไปถึงตอนเรียนมัธยม มีอาจารย์ผมคนนึง แกบอกว่า ไอ้คนที่พูดว่าไม่มีเวลาน่ะคือคนโกหก โดยให้เหตุผลว่า “ถ้าไม่มีเวลาจริง แล้วมานั่งบ่นได้ไงว่าไม่มีเวลา แสดงว่าเวลาน่ะมี แต่ดันเอาเวลาที่มีมานั่งบ่น” แกบอกอย่างนี้ ผมก็แย้งอาจารย์อยู่ในใจ ว่า ไอ้ที่เค้าบ่นน่ะ หมายถึงไม่มีเวลาที่มากพอที่ทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จได้ต่างหากล่ะ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าแกมีส่งสัญญาณอย่างมีนัยยะสำคัญอะไร ยังไงหรือปล่าว ฟังตอนแรกก็งงๆ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่??????


พูดถึง blog ผมก็ยังไม่ได้แนะนำตัวตามธรรมเนียมปฏิบัติของผู้มาใหม่ ผมขอยกยอดไว้คราวหน้าละกัน(แหะๆ) แต่ที่ผมมาเปิด blog ไว้ ด้วยเหตุผลมากมายหลายประการ โดยประการแรก เห็นรุ่นพี่ผมเปิด blog แล้ว มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในชุมชน blogger ซึ่งก็น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผม (แหะๆ) ประการต่อมา โดยกมล(สันดาน)แล้ว ผมเป็นคนขี้บ่นอย่างแรง แต่ส่วนใหญ่จะบ่นในใจ เพราะบ่นไปก็ไม่มีใครฟัง เลยเอาเรื่องที่อยากบ่นมาลงในนี้แทน(อย่าพึ่งเบื่อนะครับ) ประการที่สำคัญที่สุดคือ ตอนนี้ผมกำลังจะเริ่มเขียนวิทยานิพนธ์ แต่ผมมีข้อบกพร่องที่ร้ายแรงมากสำหรับการเขียนหนังสือ คือผมจัดระบบความคิดในหัวตัวเองไม่ได้ คือคิดได้แต่เรียบเรียงให้เป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ เลยคิดว่ามาซ้อมมือโดยการเขียน blog ถ้าจะดี แต่ไม่รู้ว่าจะดีขึ้นหรือเปล่า เพราะพอจะเขียนอะไรให้มันเป็นเรื่องเป็นราวซะหน่อยก็ไม่รู้ว่าบรรดาเซลล์สมองผมแอบโดดงานไปหลบอยู่ที่ไหนกันหมด ไม่ยอมมาช่วยกันคิดทำมาหากินซะบ้าง

ว่าถึงเรื่องบอลอังกฤษซะหน่อย ข่าวที่กำลังฮือฮามากที่สุดตอนนี้คงไม่พ้นการย้ายทีมของ Owen มา Newcastle ของผม เรื่องนี้ พี่นิติรัฐ บอกทำใจไม่ได้ ไม่อยากเห็นโอเว่นลงเล่นให้ทีมอื่นเตะกับลิเวอร์พูล แต่ก็ต้องทำใจครับของอย่างนี้ เค้าเตะบอลเป็นอาชีพ และผมคิดว่า ถ้าโอเวนในเสื้อลายบาร์โค้ดของนิว เตะกับลิเวอร์พูล เค้าจะตั้งใจเล่นเป็นพิเศษ เพื่อพิสูจน์ความเป็นมืออาชีพของตัวเอง ดังนั้นหากนิวชนะโดยโอเวนยิงประตูชัยก็อย่าว่ากันนะครับ 5555

จริงๆผมว่า ไอ้หนวดซูเนส (ตอนนี้โกนหนวดแล้ว) มันแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ปัญหาของนิวไม่ใช่อยู่ที่เชียร์เรอร์แก่เกินไปอย่างเดียว ปัญหามันอยู่ที่การขาดซึ่งจินตนาการในการทำการบุกอย่างสิ้นเชิงของทีม กองกลางทำเกมไม่ได้ ต่อให้กองหน้าคมแค่ไหน ถ้าไม่มีคนจ่ายบอลให้ ก็จบข่าว และถ้าลองดูชื่อชั้นตัวผู้เล่นกองกลางของนิว ไม่ว่าจะเป็นดายเออร์ ,โบวเยอร์ ,เอ็มเร่, ปาร์กเกอร์, จีนาส(ย้ายไปสเปอร์แล้ว), มิลเนอร์ จะเห็นว่าไม่ได้ขี้เหร่แต่อย่างใด ซึ่งสรุปได้อย่างเดียวว่าคนคุมทีมห่วย ดังนั้นตำแหน่ง ที่นิวคาสเซิล ต้องการด่วนที่สุด คือ ผู้จัดการทีม ครับ และถ้านายหนวดจะเล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว ควรรีบลาออกไปแล้วเปิดโอกาสให้คนอี่นมาทำทีมแทนดีกว่า ผมทนดูไอ้หนวดทำทีมมาปีนึงเต็มๆ เริ่มจะทนไม่ไหว


แต่จะว่าไปไอ้หนวดก็ซื้อตัวผู้เล่นได้เก่งไม่เลว ดูแต่ละตัวที่มันซื้อมา สก็อต ปาร์กเกอร์ , เอ็มเร่ เบโลโซกลู (ถ้ายังจำฟุตบอลโลกฉบับเอเชียได้ หมอนี่เป็นตัวทำเกมคนสำคัญช่วยให้ตุรกีคว้าอันดับ 3 ในบอลโลกได้) ,เครก มัวร์ (กัปตันทีมชาติออสเตรเลีย) , อัลเบิร์ต ลูเก้ , และล่าสุด โอเวน กับโซลาน่า (เด็กเก่านิว) และก็เกือบได้ ฟรานเชสโก้ โคโค่ แบ็กซ้ายดาวรุ่งของอิตาลีเมื่อ 4-5 ปีก่อน ดังนั้นผมว่าตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดของซูเนสคือผู้อำนวยการฟุตบอลครับ ตำแหน่งเดียวกับที่เชลซี ไปแย่งคนของสเปอร์มา (ผมจำชื่อไม่ได้) เค้าน่าจะทำได้ดี


สำหรับแฟนนิว ณ เวลานี้คงไม่มีใครลุ้นแชมป์ แล้วละครับ อย่างแรกที่ลุ้นก่อนคือเมื่อไหร่ไอ้หนวดมันจะออกไปซะที และผมก็หวังว่า ซูเนส คงจะสำนึกได้ในเร็ววันนี้ ผมไม่อยากไปลุ้นหนีตกชั้นตอนปลายฤดูกาล...........