Thursday, May 15, 2008

"เขา"

กลับมาดูบล็อกตัวเองอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้แยแสมาเป็นเวลาปีกว่า แต่หากนับจากบล็อกตอนสุดท้ายที่เป็นชิ้นเป็นอันจริงๆ เวลาที่บล็อกถูกทิ้งร้างจะยาวนานถึง 2 ปีกว่า แต่ดูท่าบล็อกอื่นๆก็ไม่ต่างกันซักเท่าไหร่นะครับ เวลานี้ชุมชนบล็อกเกอร์ก็เงียบเหงาไปเยอะมาก นับตั้งแต่ม็อบพันธมิตรสมัยทักษิณยังเป็นนายกฯ ชาวบล็อกเกอร์ค่อยๆ ทยอยหายหน้าหายตาไปทีละคน จนกระทั่งปัจจุบัน แม้บางช่วงเวลาจะมีกิจกรรม Blog Tag เข้ามาสร้างกระแสได้ซักพัก แต่ก็ยังกระแสก็ยังคงไม่มีแรงพอที่จะทำให้ชุมชนบล็อกเกอร์กลับมาคึกคักอีกครั้ง ตอนเริ่มเขียนบล็อกแรกๆ ผมเคยคิดว่าอีก 10 ปี ข้างหน้าบล็อกเราจะเป็นอย่างไร คิดไปก็ด่าตัวเองไป (หอยเอ๊ย! ไม่ถึง 2 ปี มึงก็เลิกเขียนแล้ว นับประสาอะไรกับ 10 ปี) แต่ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้ผมกะว่าจะพยายามสลัดไล่ตัวขี้เกียจออกไปให้ได้ แล้วกลับมานั่งเขียนอะไรที่มันมีสาระจริงๆ? อีกครั้ง

เพื่อเป็นการต้อนรับการกลับมาของตัวเอง และถือเป็นการเคาะสนิมไปในตัว ก็เลยจะประเดิมด้วยประเด็นอุ่นๆ ในวงการอินเตอร์เน็ต ที่ไม่เป็นข่าวกระแสหลัก หรือเป็นก็ไม่อาจทราบได้ เพราะตอนนี้ผมนับครั้งที่ดูข่าวทีวีได้ด้วยจำนวนนิ้วมือข้างเดียว หมึกกระดาษหนังสือพิมพ์ไม่เคยได้แอ้มมือผมซักครั้งในรอบครึ่งปีที่ผ่านมา

ประเด็นที่ผมว่าก็คือกรณีการแสดงความคิดเห็นของผู้เล่นของเว็บบอร์ดแห่งหนึ่งที่เป็นที่รวมของ “นักกฎหมาย” ที่มากที่สุดก็น่าจะว่าได้ ต่อกรณีของ "เขา" ที่ไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง เว็บบอร์ดแห่งนั้น แต่ก่อนเคยที่เป็นที่ที่นักกฎหมายมาพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อเตรียมสอบเนติบัณฑิต เป็นบอร์ดที่เต็มไปด้วยความรู้และน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ผมก็เข้าไปเล่นบ่อยๆ โพสก์ตอบบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็น้อยมาก จนกระทั่งวันหนึ่ง

"เขา" ถูกแจ้งความด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เนื่องจากไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี ประเด็นที่ผมคิดว่าคนที่เป็นนักกฎหมายน่าจะถกเถียงกันได้แก่ การกระทำของ "เขา" เป็นความผิดตามกฎหมายใดหรือไม่ อย่างไร การไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นการกระทำที่เป็นการหมิ่นพระบรมฯหรือไม่ หรือ ข้อกล่าวอ้างของ “เขา” ที่ว่ากฎหมายที่บังคับให้บุคคลต้องยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นกฎหมายที่ละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ฟังขึ้นหรือไม่

เอาแค่ประเด็นที่หลักๆนะครับยังไม่รวมข้อเท็จจริงอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกัน ซึ่งหากลองไปดูบทสัมภาษณ์ของ “เขา” ที่ประชาไท ก็จะพบว่ามีประเด็นข้อกฎหมายมากมายที่นักกฎหมายน่าจะสนใจ

แต่ผมกลับพบว่าความคิดเห็นที่ถูกโพสก์ขึ้นมาเกือบทั้งหมด เป็นคำผรุสวาทบ้าง ไล่ให้ไปตายบ้าง ไล่ให้ไปอยู่ประเทศอื่นบ้าง ถ้าเป็นที่อื่น หรือบอร์ดอื่นผมจะไม่ฉงนฉงายแต่ประการใด แต่นี่เป็นบอร์ดที่ “นักกฎหมาย” มารวมกันอยู่แต่กลับไม่มีใครพูดถึง "กฎหมาย" เลย ราวกลับว่าประเทศนี้ไม่มีกฎหมาย ไม่ใช่นิติรัฐ บอร์ดนักกฎหมายกลับกลายเป็นศาลเตี้ยที่พิพากษา “ประหารชีวิต” ให้ “เขา” เสร็จสรรพ โดยไม่แม้แต่จะชายตาดูคำให้การที่ “เขา” พยายามจะพูด


ที่น่าจะตลกร้ายไปกว่านั้น คือผู้ที่แสดงความคิดเห็นคือ ว่าที่ผู้พิพากษา ว่าที่อัยการ ที่จะเข้าไปทำหน้าที่ประสิทธิประสาทความยุติธรรมให้แก่บ้านนี้ เมืองนี้ ในอนาคต

ซึ่งผมไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าถ้า "เขา" ถูกส่งฟ้องศาลแล้วคำตัดสินจะเป็นอย่างไร

ปล.ขออภัยต่อ “เขา” ที่ผมไม่มีความกล้าหาญพอที่จะเอ่ยชื่อในบล็อกนี้ได้

Wednesday, January 24, 2007

Blog Tag

ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยา ผมหยุดเขียนบล็อกไปจนถึงวันนี้ เนื่องจากเกิดความรู้สึกเซ็งประเทศไหแลนด์อย่างบอกไม่ถูก และก็หลบภัยจากบุคคลนิรนามทั้งหลาย ที่อาจโผล่มาอย่างไม่ทันตั้งตัว ซึ่งผมเป็นคนใจร้อนอาจทำให้เกิดอาการ “น็อตหลุด” ได้ จนมาเห็นบล็อก แท็ค ที่เริ่มระบาดในชุมชนบล็อกเก้อ ซึ่งจริงๆแล้วผมถูก tag แล้วครั้งนึงจากพี่ริน แห่ง Neo-Humansim แต่เนื่องจากบล็อกตอน Tag ของพี่รินแกหายไป ประกอบกับผมยังยุ่งๆอยู่ก็เลยปล่อยให้ผ่านไป คราวนี้คุณติ๊ก สกายวอคเกอร์ให้เกียรติ tag ผม ผมก็เลยถือโอกาสนี้ใช้หนี้ซะเลย

ตามกติกานะครับให้เขียนถึงตัวเอง 5 ข้อ

1 ชื่อที่ผมใช้ในอินเตอร์เน็ต คือธนุส (Tanusz) มาจากชื่อของพระเอกในตัวละครของ พล.ต.อ. วิศิษฐ เดชกุญชร เป็นอาชญนิยายหลายภาค เป็นเรื่องขององค์การลับของรัฐบาลไทย ไม่มีชื่อที่เป็นทางการ แต่มีชื่อที่ใช้เรียกกันเองว่า “บราโว่” (ใครนึกไม่ออกให้นึกถึงเอ็มไอ 6 ของ เจมส์ บอนด์ 007 เพราะผู้เขียนได้รับแรงบันดาลใจจากเอียน แฟลมมิ่ง คนเขียนเจมส์ บอนด์) ทำหน้าที่ตอบโต้ภัยที่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของประเทศทุกรูปแบบ โดยไม่เลือกวิธีการใช้ ตัวพระเอกเป็นชายร่างสูงผิวคล้ำ เสียงทุ้มนุ่ม และที่สำคัญเก่งโคตรๆครับ มีทั้งหมด 5 ภาค คือ (1) แม่ลาวเลือด (2) สารวัตรเถื่อน เคยทำเป็นหนังโรง(หรือเปล่าผมไม่แน่ใจเพราะว่าไม่เคยดู) คุณนก ฉัตรชัยเล่นเป็นธนุส (3) หักลิ้นช้าง ตอนนี้เคยทำเป็นละครช่อง 7 พีท ทองเจือ เล่นเป็นธนุส หรือหัวหน้าแดน (4) บ่วงบาศ และล่าสุด (5) ประกาศิตอสูร ตอนล่าสุด เริ่มเรื่องมาบราโว่ถูกยุบไป ส่วนผู้การธนุสแกไปบวช ปล่อยให้ลูกน้องเผชิญชะตากรรมตามลำพัง เรื่องไม่น่าจะมีอะไร แต่สนุกมากๆครับ เสียดายนิดเดียว ที่ผู้การธนุสแก่โผล่มานิดเดียว แถมโผล่มาแบบเป็นพระเลยสนุกสู้ภาคก่อนๆไม่ได้

ซึ่งผมเริ่มติดนิยายของคุณวศิษฐ อย่างงอมแงมเอาตอนประมาณ ม. 3 (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) จำได้ว่าตอนนั้นช่อง 5 เอานิยายของคุณวิศิษฐ มาสร้างเป็นละคร เรื่องเลือดเข้าตา ที่คุณจักรกฤษณ์ อมรัตน์ เล่นเป็นพระเอก ดูมาเรื่อยจนกระทั่งตอนจบครับ โรงเรียนผมดันมาจัดเข้าค่ายลูกเสือตอนวันนั้นพอดี อดดูตอนจบ ทำเอาผมเซ็งมาก วันจันทร์เลยเดินเข้าห้องสมุดไปยืมมาอ่าน เท่านั้นแหละครับ วางไม่ลงจริงๆ เท่านั้นยังไม่พอมันยังลุกลามไปทำให้ผมติดนิยายทุกเรื่องของแก จนกระทั่งไปติดใจที่สุดคือเรื่องของ ธนุส นิราลัย

ผมว่านิยายของคุณวศิษฐมีเสน่ห์ตรงที่การเล่าเรื่องที่ไม่น่าเบื่อ การบรรยายอาวุธ,ยุทธวิธีทางทหาร,การบรรยายฉากต่อสู้ ที่เหมือนจริงเอามากๆ ซึ่งถ้าใครว่างๆก็ลองไปหามาอ่านกันดูนะครับ ไม่เฉพาะเรื่องของธนุสเท่านั้นนะครับ พวก ลว.สุดท้าย, สารวัตรใหญ่ (เวโรจน์), เบี้ยล่าง, เลือดเข้าตา, สันติบาล พวกนี้ก็สนุกเหมือนกัน (ผมชอบสารวัตรใหญ่ที่สุดครับ)


2 ส่วนที่มาของชื่อบล็อกตอนแรกกะเดินตามรอยรุ่นพี่ทั้งสองคน คือพี่ ratioscripta กะพี่ etatdedroit เอาชื่อที่มันเป็นวิชาการๆหน่อย แต่คิดไปคิดมาไม่เอาดีกว่า อย่าพึ่งตั้งชื่อให้มันหรูเกินความสามารถ เลยมองซ้ายมองขวา ไปเจอะเอาหนังสือเดอะลอร์ดออฟเดอะริง ชื่อ nazkull มันเลยผุดขึ้นมาในหัวอย่างทันทีทันใด ถ้าใครดูหนังเดอะ ลอร์ด คงจำไอ้ตัวอัศวินปีศาจที่เป็นลูกน้องของจอมมารเซารอน ภาคแรกขี่ม้า ภาคสองดันอัพเกรดไปขี่ไดโนเสาร์แทนมีทั้งหมด 7 ตัว เห็นเข้าท่าดีและก็ตรงตามคอนเซ็ปท์ ที่ผมวางไว้ตอนจะเขียนบล็อก คือผมไม่ได้กะจะเขียนบล็อกคนเดียวกะชวนเพื่อนพ้องน้องพี่มาร่วมแจม ฉะนั้นชื่อบล็อกต้องไม่ใช่ชื่อผมคนเดียว แต่มีความหมายถึงหลายๆคน แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครโผล่มาร่วมกะผมซักคนเลย

หุหุแค่ชื่อตัวเองกะชื่อบล็อกก็ได้ 2 ข้อแล้ว

3. ผมเป็นคนที่จำหน้าคนไม่ได้เลย แบบว่าถ้ามองหน้าอย่างเดียวแล้วให้บอกชื่อเนี่ยผมจำไม่ได้เลยจริงๆ ถ้าผมไปเล่นเกมทศกัณฑ์ แล้วหน้าแรกไม่ใช่หน้า คุณทักษิณ หรือคุณชวน หลีกภัย นี่ตกรอบแน่นอน ซึ่งในชีวิตประจำวันนอกจากคนที่เจอหน้ากันทุกวัน ผมจะใช้วิธีจำจากท่าทาง ทรงผม เสื้อผ้า ซึ่งขนาดเพื่อนผมเอง เรียนด้วยกันมาเจอกันนอกโรงเรียนบางทีผมยังจำไม่ได้เลยครับเพราะไม่ได้ใส่ชุดนักเรียน ไม่คุ้น และเมื่อก่อนผมจะเป็นคนที่ทักคนผิดบ่อยมากๆ ก็เนื่องจากจำหน้าคนไม่ได้นี่แหละครับ แต่หลังๆมานี้ไม่ทักผิดแล้ว เพราะไม่กล้าทักใครก่อน กลัวหน้าแตก

4. ผมชอบอ่านการ์ตูนมากๆ ตั้งแต่ตอนเด็กๆ พออ่านเยอะเข้าก็ชักอยาก เป็นนักเขียนการ์ตูน (ตอนนั้นอยู่ ป.6)ก็ทดลองวาดรูปเล่นกับกระดาษสมุด ซึ่งจริงๆแล้วผมน่าจะรู้ตัวอยู่แล้วว่าตัวเองไม่มีความสามารถทางด้านนี้จริงๆ เพราะลองเทียบรูปที่ตัวเองวาดกับเพื่อนวาดนี่ต่างกันราวสวรรค์กะนรก แต่ผมกลับคิดว่าถ้าฝึกไปเรื่อยๆก็น่าจะเก่งได้ จนกระทั่งวันนึง ผมได้รับเลือกจากครูสอนศิลปะให้วาดรูปลงกระดาษแผ่นใหญ่ เพื่อจะจัดแสดงในงานโรงเรียน (ปกติในชั้นเรียนจะได้วาดแต่กระดาษแผ่นเล็ก) ผมดีใจโคตรๆ ตอนแรกที่อาจารย์แกบอก ผมก็งงๆอยู่ เพราะรูปที่ผมวาดไปส่งไม่ได้มีอะไรที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นรูปวาดที่ดีแม้แต่น้อย ผมเลยคิดว่าอาจารย์คงเห็นอะไรบางอย่างในรูปของผม ก็เลยนึกในใจว่าเราก็มีฝีมือเหมือนกันนี่หว่า

พอวาดเสร็จผมก็เอารูปไปส่งอาจารย์ พออาจารย์แกดูนอกจากแกจะไม่เก็บอาการแล้ว แกยังพูดจาตรงไปครงมาได้ใจผมมากเลย แกพูดว่า“ตอนครูให้เธอวาดรูปเนี่ย ครูเมาป่าววะ” (มี "วะ" จริงๆนะครับไม่ได้เติมเอง)เท่านั้นแหละครับ ผมก็รู้ได้ทันทีว่าประตูสู่เส้นทางชีวิตศิลปิน(ไส้แห้ง)ของผมได้ปิดลงอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว นับแต่นั้นผมก็เลยไม่ได้วาดรูปอีกเลยเว้นแต่จำเป็นต้องส่งงานวิชาศิลปะเท่านั้น เหลือไว้ก็แต่ความฝันวัยเด็กแบบขำขำ

5 ผมเป็นคนที่ติดบ้านมากๆ ไม่ค่อยอยากไปเที่ยวต่างจังหวัดที่ต้องค้าง รู้สึกไม่ค่อยสบายตัวสบายใจเท่าไหร่ วันหยุดยาวๆ ที่คนอื่นๆอาจไปเที่ยวต่างจังหวัดแต่ผมขอนอนอยู่บ้านดีกว่า ขนาดดื่มจนเมามากๆถ้าไม่มีเหตุปัจจัยอะไรผมจะกลับบ้านตลอด เหตุปัจจัยที่ว่าคือเงินค่าแท็กซี่นี่แหละครับ ตอนเรียนมหาลัยบ้านผมอยู่รามอินทรา ค่าแท็กซี่จากร้านเหล้ากลับบ้าน ไม่ต่ำกว่า 150 นักศึกษาอนาถาอย่างผมเลยต้องของพี่งใบบุญจากเพื่อนๆ แต่พอตื่นมาซึ่งผมจะเป็นคนตื่นเช้า ผมก็รีบบึ่ง(รถเมล์)กลับบ้านทันที จนเพื่อนๆหาว่าผมเป็นนินจา ไปไม่ลามาไม่บอก อยู่ๆก็หายตัวไปเลย (ก็แน่หล่ะซิครับขืนผมรอพวกคุณมึงตื่นผมก็คงไม่ต้องกลับบ้าน กว่าจะตื่นกันล่อเข้าไปบ่าย 3 บ่าย 4 ร่ำลาเสร็จก็ได้เวลาตั้งวงใหม่พอดี)

ส่วนส่งต่อให้ใคร 5 คนนั้น บรรดาคนที่ผมรู้จักหรือแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนที่บล็อกผมก็เขียน Tag กันไปหมดแล้ว เหลืออยู่คนเดียว ซึ่งผมขอ Tag คนนี้คนเดียวเลยนะครับ นั่นคืออ.นิติรัฐนั่นเอง ยังไงก็รบกวน อ.ด้วยนะกรับ อยากอ่านของอ.น่ะกรับ

Thursday, September 21, 2006

ไม่ได้โม้

บทละครเรื่องใหม่ล่าสุด
ณ. สถานควบคุมตัวผู้ต้องหาคดีร้ายแรงคดีนึง ประเทศไหแลนด์

ชายร่างใหญ่ สวมหมวกไหมพรม กำลังถูกควบคุมตัวไว้โดยตำรวจ
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนเค้าถูกจับด้วยข้อหาร้ายแรง
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน เค้าถูกกล่าวหาว่าเป็นคนติ่งต๊อง
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนเค้าถูกกล่าวหาว่าเป็นคนขี้โม้
เมื่อไม่กี่สัปดาห์เค้าถูกนักหนังสือพิมพ์ด่าว่า "ตัวใหญ่แต่ใจมด"

ตอนนี้ชายคนนั้นกำลัง
นั่งฟังข่าวเหคุการณ์บ้านเมืองในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา
นั่งหน้าซีด ปากสั่น ตัวลีบ ร่ำร้องในใจว่า "ซวยแล้วกู"
แต่ถึงยังไง ชายคนดังกล่าวก็รู้สึกสะใจเล็กๆ อยากตะโกนบอกใครต่อใครว่า
"พวกมึงเห็นไม๊ กูไม่ได้โม้ 555"

ไว้อาลัยแด่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540
ไว้อาลัยแด่ประชาธิปไตย
ไว้อาลัยแด่สิทธิและเสรีภาพ
และไว้อาลัยแด่ประเทศไทย

Monday, July 24, 2006

นักฟิสิกส์กับนักกฎหมาย

ห่างหายไปนานสำหรับบล็อกกับตัวผม สาเหตุใดคงไม่ต้องบอกกล่าวกันเพราะคงรู้กันอยู่แล้ว วันนี้ผมได้รับเมล์ฟอร์เวิร์ดจากเพื่อนรุ่นน้องคนนึง ซึ่งปกติผมขี้เกียจจะอ่านเสมอๆ (ชอบดูรูปมากกว่า หุหุ) ส่วนใหญ่จะลบทิ้ง (เพื่อนๆที่ส่งเมลให้ผมอย่าเพิ่งน้อยใจนะครับ บางเรื่องผมก็อ่านนะครับอย่างเรื่องนี้เป็นต้น) เนื้อความในเมล์ว่ายังงี้ครับ

อันนี้ถ้าจำไม่ผิดอ่านมาจากพันทิพ
ข้อสอบฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัย และคำตอบของนักศึกษาคนหนึ่ง โจทย์ข้อหนึ่งในข้อสอบวิชาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนมีดังนึ้

"จงอธิบายว่าท่านจะใช้บารอมิเตอร์วัดความสูงของตึกระฟ้าได้อย่างไร"

รู้จักกันนะครับ ว่าบาร์รอมิเตอร์นี่ก็คือเครื่องมือวัดความกดอากาศนั่นเอง (อธิบายเพิ่มเติมก็คงต้องบอกว่า อากาศนั้นมันมีน้ำหนักหรือมีแรงกดนั่นเอง และแรงกดของอากาศนั้นเมื่ออยู่ในระดับความสูงที่เปลี่ยนไป ความกดอากาศก็เปลี่ยนไปด้วย)

นักศึกษาคนหนึ่งเขียนคำตอบลงไปว่า "เอาเชือกยาวๆ ผูกกับบารอมิเตอร์แล้วหย่อนลงมาจากยอดตึก แล้วก็เอาความยาวเชือกบวกความสูงบารอมิเตอร์ก็จะได้ความสูงของตึก" ฟังดูเป็นอย่างไรครับคำตอบนี้ ผมฟังครั้งแรกผมยังอมยิ้มเลยครับ แต่อาจารย์ที่ตรวจข้อสอบไม่นึกขันอย่างผมด้วย อาจารย์ตัดสินให้นักศึกษาคนนั้นสอบตก นักศึกษาผู้นั้นยืนยันต่ออาจารย์ที่ปรึกษาว่า คำตอบของเขาควรจะถูกต้องอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง และคำตอบของเขาก็สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ ทางมหาวิทยาลัยจึงตั้งกรรมการชุดหนึ่งมาตัดสินเรื่องนี้ และในที่สุดคณะกรรมการก็มีความเห็นตรงกันว่า คำตอบนั้นถูกต้องอย่างแน่นอน

แต่เป็นคำตอบที่ไม่แสดงถึงความรู้ความสามารถทางฟิสิกส์ ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น ทางคณะกรรมการจึงให้เรียกนักศึกษาคนนั้นมา แล้วให้สอบข้อสอบข้อนั้นอีกครั้งหนึ่งต่อหน้า โดยให้เวลาเพียง 6 นาที เท่ากับเวลาในการสอบข้อสอบเดิม เพื่อหาคำตอบที่แสดงให้เห็นถึงความรู้ทางด้านฟิสิกส์ หลังจากผ่านไป 3 นาที นักศึกษาคนนั้นก็ยังนั่งนิ่งอยู่ กรรมการจึงเตือนว่า เวลาผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้วจะไม่ตอบหรืออย่างไร นักศึกษาหัวรั้นจึงตอบว่า เขามีคำตอบมากมายที่เกี่ยวกับฟิสิกส์ แต่ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะใช้คำตอบไหนดี และเมื่อได้รับคำเตือนอีกครั้ง นักศึกษาจึงเขียนคำตอบลงไปดังนี้

ให้เอาบารอมิเตอร์ขึ้นไปบนดาดฟ้าตึกและทิ้งลงมา จับเวลาจนถึงพื้น, ความสูงของตึกหาได้จากสูตร H=0.5g*t กำลัง 2

หรือถ้าแดดแรงพอ ให้วัดความสูงบารอมิเตอร์แล้วก็วางบารอมิเตอร์ให้ตั้งฉากพื้น แล้ววัดความยาวของเงาบารอมอเตอร์ จากนั้นก็วัดความยาวของเงาตึก แล้วคิดด้วยตรีโกณมิติก็จะได้ความสูงของตึกโดยไม่ต้องขึ้นไปบนตึกด้วยซ้ำ

หรือถ้าเกิดอยากใช้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์มากกว่านี้
ก็เอาเชือกเส้นสั้นๆ มาผูกกะบารอมิเตอร์แล้วแกว่งเหมือนลูกตุ้ม ตอนแรกก็แกว่งระดับพื้นดิน แล้วก็ไปแกว่งอีกทีบนดาดฟ้า ความสูงของตึกจะหาได้จาก ความแตกต่างของคาบการแกว่ง เนื่องจากความแตกต่างของแรงดึดดูดจากจุดศูนย์กลางของมวล คำนวณจาก T = 2 พาย กำลัง 2 รากที่ 2 ของ l/g

ถ้าตึกมีบันไดหนีไฟก็ง่ายๆ ก็เดินขึ้นไปเอาบารอมิเตอร์ทาบตัวตึกแล้วก็ทำเครื่องหมายไปเรื่อยๆ จนถึงยอดตึกนับไว้คูณด้วยความสูงของบารอมิเตอร์ก็ได้ความสูงตึก

แต่ถ้าคุณเป็นคนที่น่าเบื่อและยึดถือตามแบบแผนจำเจซ้ำซาก คุณก็เอาบารอมิเตอร์วัดความดันอากาศที่พื้นและที่ยอดตึก คำนวณความแตกต่างของความดันก็จะได้ความสูง

ส่วนวิธีสุดท้ายง่ายและตรงไปตรงมาก็คือ ไปเคาะประตูห้องภารโรง แล้วบอกว่า อยากได้บารอมิเตอร์สวยๆ ใหม่เอี่ยมสักอันไหม ช่วยบอกความสูงของตึกให้ผมทีแล้วผมจะยกให้.

หากมองตามเหตุการณ์ในเมล์(ที่ผมสงสัยอยูว่ามันจริงป่าววะ) ที่ได้รับมานักศึกษาคนนี้ออกจะกวนอวัยวะ และขวางโลกอยู่ไม่น้อย (ในเมล์มาเฉลยตอนท้ายว่านักศึกษาคนนั้นคือ นีล โบร์ ผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปีค.ศ.1922*) ก็ข้อสอบเค้าถามในข้อสอบวิชาฟิสิกส์ ไม่ได้ถามในบริบททั่วไปๆ ผมเลยมาตั้งคำถามต่อในใจ สมมุติว่า ถ้าคำถามเดียวกันนี้ไปถามนักฟิสิกส์ แต่ไม่ได้ถามในข้อสอบวิชาฟิสิกส์ (ถามทั่วไป) ผม “เดา” เอาว่า หลายๆคนก็คงตอบแบบ “คนที่น่าเบื่อและยึดถือตามแบบแผนจำเจซ้ำซาก” ตามนิยามของนักศึกษาผู้นี้ ซึ่งจากเมล์อันนี้ผมเลยได้ข้อสรุปในใจขึ้นมาว่า “ปัญหาบางปัญหาไม่จำเป็นต้องแก้ด้วยฟิสิกส์”

ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงเรื่องๆนึงที่เพื่อนผมที่เป็นทนายเคยบ่นให้ฟัง มันบอกว่าทนายมักชอบคิดแบบทนาย นักกฎหมายชอบคิดแบบนักกฎหมาย (โดยเฉพาะพวกที่จบมาใหม่ๆ ยังไม่มีประสบการณ์ ซึ่งเพื่อนผมก็บอกว่าตัวเองก็จัดเป็นทนายเป็นประเภทนี้) คือว่าทนายเวลามีลูกความมาปรึกษาคดีก็ชอบที่จะคิดถึงแต่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคดี “เป็นอย่างแรก” (เน้นว่าเป็นอย่างแรกที่สมองจะนึกออกเวลาทำงาน ซึ่งอันนี้เน้นโดยเพื่อนคนที่เล่าให้ฟัง) แล้วก็จะละเลยประเด็นอื่นๆ หรือความเป็นไปได้อื่นๆ ในการแก้ไขปัญหาโดยไม่ต้องใช้กฎหมาย เช่นถ้าลูกความมาปรึกษาเรื่องทะเลาะกับสามีที่บ้าน ก็มักจะคิดถึงแต่เหตุฟ้องหย่าตามกฎหมาย หรือถ้าลูกความมาปรึกษาเรื่องไม่มีเงินจ่ายหนี้ ก็จะคิดถึงเหตุที่หลบเลี่ยงให้ลูกความไม่ต้องจ่ายเงิน หรือมีเรื่องทะเลาะกับข้างบ้าน หัวสมองก็เริ่มคิดเรื่องละเมิด เรื่องค่าเสียหายที่จะฟ้องร้อง

หลายคนคงสงสัยว่าแล้วมันแปลกตรงไหน ก็ทนายมีหน้าที่ในการแก้ปัญหาตรงนี้นี่ ซึ่งผมก็ไม่เถียงว่าทนายมีหน้าที่ตรงนี้จริง แต่บางทีเราอาจจะลืมไปว่า ปัญหาทุกปัญหาไม่ต้องใช้กฎหมายแก้ก็ได้ ไม่ต้องถึงโรงถึงศาลก็ได้ หรือบางปัญหาไม่ใช่เรื่องของกฎหมายเลยก็อย่าพยายามลากเอากฎหมายเข้าไปเกี่ยวข้อง หากเอาตามกรณีที่ยกตัวอย่างมา เช่น ลูกความมาปรึกษาเรื่องทะเลาะกับสามีทีบ้าน ก็อาจจะให้คำปรึกษาที่ดีไปซะก่อน หรือ เรื่องลูกความไม่มีเงินจ่ายหนี้ ก็อาจเป็นคนกลางเจรจาประนอมหนี้ หรือเรื่องลูกความทะเลาะกับคนข้างบ้าน แทนที่จะตั้งเรื่องฟ้องท่าเดียว ก็อาจเป็นคนกลางในการเจรจากับคนข้างบ้านให้

ซึ่งเพื่อนผมลงความเห็นสรุปว่าเพราะ “เรียนกฎหมายมาความคิดเลยแคบ อยู่แต่ในตัวบทกฎหมาย” ตอนแรกที่ผมฟังเพื่อนผมเล่าก็ไม่จะคล้อยตามเท่าไหร่ นั่งถกกันอยู่ครึ่งคืน แต่ตอนนี้ ผมชักจะเริ่มเห็นด้วยกับมันแล้วล่ะครับ โดยดูจากปัญหาทางการเมืองอยู่ในขณะนี้ ดูวิธีการแก้ปัญหาของนักกฎหมายหลายๆ สำนักที่เสนอให้แก้กฎหมายฉบับนั้น กฎหมายฉบับนี้ แก้รัฐธรรมนูญบ้างล่ะ ต้องใช้มาตรา 7 บ้างล่ะ คงลืมนึกไปว่าปัญหาบางปัญหาไม่จำเป็นแก้ได้ด้วยกฎหมายนะกรับ

ปล.กรุณาอย่าถามต่อนะครับว่าแล้วควรทำยังไง เพราะผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน หุหุ

* อันนี้ผมสงสัยเองว่า ปี 1922 มีรางวัลโนเบลแล้วหรือ ใครทราบรบกวนช่วยบอกหน่อยครับ ขอบคุณครับ

Tuesday, June 13, 2006

Dreams

ช่วงนี้กำลังเผชิญกับวิกฤตการศึกษาอีกครั้ง รู้สึกหดหู่ เลยมาเปลี่ยนเพลงให้ฟังดูมีกำลังใจหน่อย เป็นเพลงของ เอ็ดดี้ แวน ฮาเลน ฟังแล้วรู้สึกมีกำลังจะลุกขึ้นสู้ชีวิตดีครับ โดยเฉพาะเสียงร้องนำของ Sammy Hagar เสียงสูงได้ใจเข้ากับอารมณ์ของเพลงเป็นอย่างดี ลองหลับตาแล้วร้องตาม(ให้ถูกคีย์นะครับ)แล้วจะรู้สึกว่าตัวเองลอยได้
Dream/Van halen

World turns black and white
Pictures in an empty room
Your love starts fallin' down
Better change your tune
Yeah, you reach for the golden ring
Reach for the sky
Baby, just spread your wings

We'll get higher and higher
Straight up we'll climb
We'll get higher and higher
Leave it all behind

Run, run, run away
Like a train runnin' off the track
Got the truth bein' left behind
Falls between the cracks
Standin' on broken dreams
Never losin' sight, ah
Well just spread your wings

We'll get higher and higher
Straight up we'll climb
We'll get higher and higher
Leave it all behind

So baby dry your eyes
Save all the tears you've cried
Oh, that's what dreams are made of
'Cause we belong
in a world that must be strong
Oh, that's what dreams are made of

Yeah, we'll get higher and higher
Straight up we'll climb
Higher and higher
Leave it all behind
Oh, we'll get higher and higher
Who knows what we'll find?

So baby dry your eyes
Save all the tears you've cried
Oh, that's what dreams are made of
Oh baby, we belong
in a world that must be strong
Oh, that's what dreams are made of

And in the end on dreams we will depend
'Cause that's what love is made of

Monday, May 22, 2006

ของเล่นใหม่

หลังจากใช้ความพยายามอยู่หลายเดือน ในที่สุดผมก็เอาเพลงลงบล็อกเป็นจนได้ หลายคนอาจสงสัยว่ามันยากตรงไหน สำหรับคนอื่นอาจจะไม่ แต่สำหรับคนโลว์-เทคโนโลยีอย่างผมนี่เลือดตาแทบกระเด็น ยังไงก็เชิญนะครับ คลิ๊กที่ด้านขวามือ เพลงที่เอามาให้ฟังเป็นเพลงโปรดของผมเพลงนึงในอัลบั้มล่าสุดของ บอง โจวี่


dirty little secret
I light a candle
In the garden of love
To blind the angels
Looking down from above
I want, I need The fruit of your VINE
It tastes so bitter sweet
Cause I know it's not mine
I want to go inside
*Hit the lights
And I'll come crawling to your window, tonight
Come on and send the sign
I'll be your dirty little secret and you'll be mine
You got me knock knock knocking at your door
And I'll be coming back for more
We made a promise and we keep it
Our dirty little secret
We act like strangers
When you're holding his hand
Cause there's a danger
That we both understand
We run like thiefs
Through the temple of sin
Till we fall on our knees then you go back to him
I want to feel alive
(*,*)

Wednesday, April 26, 2006

Stand up if you love Shearer




Stand up if you love Shearer เสียงตะโกนพร้อมกับการลุกขึ้นยืนปรบมือ (Standing ovation) ของคนกว่าครึ่งแสน เพื่อเป็นเกียรติแก่ยอดกัปตันทีม “อลัน เชียร์เรอร์” ผู้กำลังจะเป็นอดีตตำนานอันยิ่งใหญ่ของสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิล ดังกระหึ่มในสนามเซ็นต์ เจมส์ ปาร์ค เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเป็นเครื่องพิสูจน์อะไรบางอย่างของยอดดาวยิงผู้นี้

ย้อนกลับไปประมาณ 30 ปีก่อน ด.ช.เชียร์เรอร์ ก็เป็นเหมือนเด็กชายชาวอังกฤษทั่วไป ที่ติดสอยห้อยตามครอบครัวโไปเชียร์ทีมฟุตบอลประจำเมือง หรือทีมที่ครอบครัวชื่นชอบ แน่นอนครับ ด.ช.เชียร์เรอร์ เป็นชาวเมืองนิวคาสเซิล จึงเป็นแฟนบอลของทีมประจำเมืองไปโดยปริยาย เมื่อได้ดูแล้วก็เกิดความฝันอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ใส่เสื้อลายบาร์โค้ด(ขาว-ดำ) ลงเตะในสนามเซ็นต์ เจมส์ ปาร์ค มีแฟนบอลส่งเสียงเชียร์ เหมือนกับเควิน คีแกน ฮีโร่ของเค้า


เมื่อความฝันแล้ว ด.ช.เชียร์เรอร์ ก็ไม่รอช้ามุ่งมั่นซุ่มซ้อมอย่างหนักเพื่อที่จะให้ได้เป็นนักเตะอาชีพ แต่แล้วความฝันของเชียร์เรอร์ก็ถูกทดสอบเป็นครั้งแรก เมื่อเชียร์เรอร์ถูกปฏิเสธไม่ให้เป็นนักเตะฝึกหัดของสโมสรที่มุ่งหวัง ไม่รู้ว่าโชคชะตากลั่นแกล้ง หรือเป็นความผิดพลาดที่น่า “เขกกะโหลก” ของเหล่าสตาฟโค้ชผู้คัดเลือก เชียร์เรอร์มีทางให้เลือกไม่มากนัก แต่ด้วยความมุ่งมั่น หนุ่มน้อยอายุเพียง 15 ปี อย่างเชียร์เรอร์เก็บข้าวเก็บของ เดินทางออกจากบ้านเกิดอันเป็นที่รักยิ่งลงใต้เพื่อไปเป็นนักเตะฝึกหัดของสโมสรเซาท์แธมป์ตันที่อยู่ห่างจากนิวคาสเซิลประมาณ 300 ไมล์ (เทียบกับบ้านเราก็ประมาณจากหนองคายลงสงขลา)

ที่เซาท์แธมป์ตัน เชียร์เรอร์ได้เริ่มตำนานบทที่หนึ่ง ตั้งแต่อายุ 17 ปี 8 เดือน โดยการยิงแฮตทริก(1 นัด 3 ประตู)ใส่ทีมอาร์เซนอล ด้วยอายุที่น้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ ทำลายสถิตของจิมมี่ กรีฟฟ์ ที่อยู่ยงคงกระพันมานานถึง 30 ปี

เชียร์เรอร์อยู่ที่เซาท์แธมป์ตันเป็นเวลา 6 ปี ก็ต้องมีอันชีพจรลงเท้าอีกครั้ง เมื่อได้รับข้อเสนอขอซื้อตัวจากทีม แบล็กเบิร์น โรเวอร์ ที่มีอดีตตำนาน หมายเลข 7 แห่งทีมลิเวอร์พูล เคนนี่ ดัลกลิช เป็นผู้จัดการทีม และทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มี เซอร์อเล็ก เฟอร์กูสัน เป็นกุนซือ

เชียร์เรอร์ปฏิเสธท่านเซอร์อเล็กซ์ เป็นครั้งแรก และย้ายไปอยู่กับแบล็กเบิร์น ด้วยค่าตัว 3.6 ล้านปอนด์ ซึ่งถือว่าแพงมากในสมัยนั้น

การตัดสินใจของเชียร์เรอร์น่าแปลกใจอยู่ไม่น้อยเพราะแมนยูในขณะนั้นเพิ่งได้รองแชมป์ลีก ศักยภาพของทีมค่อนข้างจะลงตัว ซึ่งหากเชียร์เรอร์ย้ายไป จะได้จับคู่กับเอริก คันโตน่า ยอดนักเตะชาวฝรั่งเศสที่ท่านเซอร์เพิ่งซื้อมา หากเล่นคู่กันจะเป็นคู่หูในฝันคู่นึงเลยทีเดียว เทียบกับแบล็กเบิร์นที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาอยูบนลีกสูงสุดได้ไม่นาน มีเพียงเม็ดเงินจากประธานสโมสรผู้ล่วงลับ แจ็ก วอล์กเกอร์ ที่ไม่อาจคาดหมายได้ว่าจะประสบความสำเร็จอย่างแมนยู แต่เชียร์เรอร์ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเค้าตัดสินใจไม่ผิด 3 ฤดูกาลต่อมา เชียร์เรอร์ยิงได้ 31 ประตู จากการลงสนาม 40 นัด นำทีมแบล็กเบิร์นเฉือนชนะแมนยูแค่เส้นยาแดง คว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพไปครอง





แต่ใครจะรู้ว่านี่คือแชมป์แรกและแชมป์เดียวของเชียร์เรอร์ในชีวิตการค้าแข้ง




ปี 1996 ความฝันของเชียร์เรอร์ก็ถูกทดสอบอีกครั้ง เมื่อได้รับข้อเสนอขอซื้อตัวจากเซอร์อเล็กซ์ แห่งแมนยูเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งทีมแมนยูพึ่งคว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพมา 2 สมัยซ้อน หากครั้งนี้เชียร์เรอร์ตัดสินใจไปอยู่กับทีมแมนยู การจะได้เกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทองลำบากแค่ยกขา เพราะขณะนั้นแมนยูเข้าขั้นเป็นยอดทีมแห่งเกาะอังกฤษ และกำลังใส่เกียร์เดินหน้าเพื่อมุ่งสู่แชมป์ยุโรป แต่ในขณะเดียวกัน ทีมนิวคาสเซิล ที่เป็นทีมบ้านเกิดและเป็นทีมที่เชียร์เรอร์รักก็ได้ยื่นข้อเสนอ ขอซื้อตัวมาด้วยราคาที่แพงที่สุดในโลกในสมัยนั้น 15 ล้านปอนด์ การตัดสินใจครั้งนี้หากเป็นคนอื่นคงไม่ง่ายนัก ที่จะเลือกทำตามความฝันแต่อนาคตยังคลุมเคลือ กับเลือกอนาคตที่สดใสโดยละทิ้งความฝัน

แต่ใครคนนั้นเป็นอลัน เชียร์เรอร์ ผู้วิ่งไล่ตามความฝัน เค้าเลือกที่จะทำตามความฝัน โดยปฏิเสธท่านเซอร์อเล็กซ์เป็นครั้งที่สอง เซ็นสัญญาร่วมงานกับเควิน คีแกน ฮีโร่สมัยเด็กที่เป็นผู้จัดการทีมอยู่ ย้ายมาอยู่กับทีมรัก ใส่เสื้อลายทางขาว-ดำ ลงเตะในสนามเซ็นต์เจมส์ ปาร์ค ฟังเสียงแฟนบอลตะโกนเรียกชื่อเพื่อเชียร์เค้า เป็นฝันที่เป็นจริง

10 ปีต่อมา กับทีมนิวคาสเซิล เชียร์เรอร์ไม่มีแชมป์ประดับเกียรติประวัติเพิ่มเติมใดๆแม้แต่ใบเดียว ไม่ว่าจะใบเล็กใบใหญ่ ทำได้ดีที่สุดเพียงรองแชมป์ นำมาซึ่งการตั้งคำถามว่าเชียร์เรอร์คิดผิดหรือไม่ เพราะหากตอนนั้นเชียร์เรอร์เลือกแมนยู จะได้แชมป์ทุกแชมป์ ไม่ว่าจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ชิพ เอฟเอคัพ ลีกคัพ หรือแม้แต่ถ้วยใบใหญ่ที่สุดในยุโรปอย่างยูโรเปี้ยนคัพ เชียร์เรอร์มีเพียงสถิติและตำแหน่งส่วนตัวเป็นของปลอบใจ อาทิ เป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลลของพรีเมียร์ชิพ, ได้รับการโหวตให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของอังกฤษ 2 สมัย, ทำลายสถิติการยิงประตูสูงสุดของทีมนิวคาสเซิล, เป็นดาวซัลโวในฟุตบอลยูโร 96 ในนามทีมชาติอังกฤษ, เป็นกัปตันทีมชาติอังกฤษและเป็นกัปตันสโมสรนิวคาสเซิล ฯลฯ

หากมองด้วยสายตาของบุคคลภายนอก 10 ปีนี้ เป็น 10 ปีที่ว่างเปล่าของเชียร์เรอร์อย่างแท้จริง แต่ชาวจอร์ดี้(ชาวเมืองนิวคาสเซิล)ไม่คิดอย่างนั้น เชียร์เรอร์ได้ให้อะไรกับทีมนิวคาสเซิลมากกว่าตำแหน่งแชมป์ โดยเฉพาะการเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเด็กๆในเมือง ความเป็นสุภาพบุรุษ เชียร์เรอร์ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยในเรื่องความประพฤติทั้งในและนอกสนาม ความมุ่งมั่นทุ่มเทในการทำหน้าที่นักเตะและกัปตันทีม การอุทิศตนเพื่อประโยชน์สาธารณะ สิ่งเหล่านี้เชียร์เรอร์ไม่เคยขาด

ถ้ามีคนถามผมว่าเชียร์เรอร์ประสบความสำเร็จในการค้าแข้งกับนิวคาสเซิลหรือไม่ หากคำว่า “ประสบความสำเร็จ” นั้นประเมินจากจำนวนแชมป์ที่เชียร์เรอร์ทำได้กับทีม ผมจะตอบว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

แต่หากคำว่า “ประสบความสำเร็จ” นั้นประเมินจากการได้รับการยกย่องจากแฟนบอล และบุคคลทั่วไป (โทนี แบลร์ นายกฯอังกฤษ ก็ยกย่องด้วยนะครับ) ในฐานะนักฟุตบอลอาชีพทั้งในและนอกสนาม ประเมินจากคนที่มีความฝัน และทำได้อย่างที่ฝันไว้ รวมทั้งเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ ที่กล้าที่จะขว้างทิ้ง อนาคตอันสดใสเพื่อเดินตามความฝันของตัวเอง ผมว่าเชียร์เรอร์นี่แหละครับ แชมป์ตัวจริงเสียงจริง

Stand up if you love shearer